วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ปั่น....จักรยาน
การเดินทางจากที่หนึ่ง ไปสู่อีกที่หนึ่ง เพียงแค่ขยับร่างกายไปเป็นกริยาท่าทาง วิ่ง เดิน คลาน หรือจะกลิ้งตัว ก็สามารถไปถึงจุดหมายได้ แต่...ถ้าจุดหมายมีระยะทางเพิ่มเข้ามา แค่ใช้ร่างกายเคลื่อนย้ายตัวเองไปหาจุดหมาย คงจะต้องมีเวลาเข้ามาเป็นตัวแปรอีกหนึ่งตัว
มนุษย์แก้ปัญหาได้ตรงจุด เมื่อต้องเสียเวลาในการเดินทาง มนุษย์จึงคิดค้นยานพาหนะขึ้นมา
ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ มนุษย์ถูกฝึกให้รู้จักการใช้พาหนะตั้งแต่เด็ก ช่วงวัยเด็กแทบจะทุกคน จะต้องมีของเล่นที่เป็นรถ พอโตขึ้นมาอีก ก็เริ่มจะหัดที่จะใช้พาหนะ ไล่ไปตั้งแต่ รถ3ล้อถีบแบบเด็กๆ จักรยาน(แบบมีล้อพ่วงข้างกันล้ม) จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ เรือ เครื่องบิน ฯลฯ
ช่วงนี้ เราเริ่มหันกลับไปให้ความสนใจกับ"จักรยาน"มากขึ้น ยิ่งมีโครงการพิเศษ ปั่นเพื่อแม่ ปั่นเพื่อพ่อ กระแสปั่นจักรยานก็ยิ่งบูมตู้ม..ขึ้นมาอีก
บ่อยครั้งที่ผมขับขี่รถไปบนท้องถนน แล้วประสบพบเจอก๊วนแก็งค์นักปั่นจักรยานขี่เรียงกันเป็นแถวยาว พลันก็หวนคิดถึงเรื่องราวของตัวเอง เกี่ยวกับจักรยานตอนเด็ก
....ภาพค่อยๆเบลอจางไปเป็นภาพขาวดำ
กิเลสตัณหาเริ่มครอบงำผมตั้งแต่เด็ก ผมอยากได้จักรยานเป็นของตัวเองมากๆ ตอนเย็นที่ลานหน้าบ้านจะมีเด็กๆมาวิ่งเล่นกันเป็นประจำ "หนึ่ง"จะขี่จักรยานมาเล่นด้วย ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวคือ "มันเท่ว่ะ" เมื่อมีความอยากเกิดขึ้น กระบวนการความคิดก็เริ่มทำงาน
ผมไปออดอ้อน"ยาย" ขอให้ซื้อจักรยาน ยายทำหน้านิ่งๆ สวนกลับมาด้วยคำพูดเบาๆว่า "มึงขี่เป็นแล้วเหรอ?" คำพูดเพียงไม่กี่คำของยาย มันช่างเจ็บจุกเสียดซะเหลือเกิ๊น...
เมื่อโดนยายดูถูกซะขนาดนี้ ใครจะยอมได้ ต้องจัดโชว์ให้ยายดูซะหน่อยว่าเราก็ขี่จักรยานได้นะครับ แหม่...
ก่อนหน้านี้ ผมมักจะขอยืมจักรยานของหนึ่ง มาหัดขี่อยู่บ้าง ก็ถือว่าขี่ได้แล้วล่ะ แต่ยังไม่ค่อยเก่งซักเท่าไหร่ เย็นวันนั้น ผมขอยืมรถจักรยานของหนึ่งมาขี่ เพื่อจะแสดงให้ยายดูว่า ผมขี่จักรยานเป็นแล้วนะ
โชว์ขี่จักรยานครั้งนั้น อารมณ์คงเหมือนรายการแสดงความสามารถก็อตทาเลนต์ โดยมีคุณยายเป็นคณะกรรมการ จะให้ "ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน"
ผมเริ่มขี่จากหน้าบ้านไปสุดทางโค้ง และก็ขี่กลับมาจอดหน้าบ้าน สำเร็จ!! เย้...!! แต่คณะกรรมการยังคงขาดความเชื่อมั่นในตัวนักแสดง จึงขอให้มีการขี่โชว์อีก1รอบ จัดไปสิครับ เรื่องขี้หมาอ่ะ.. ผมเริ่มขีออกตัวจากหน้าบ้าน แต่ด้วยอินเนอร์นักขี่จักรยานแชมป์โลกมันมาเต็ม ผมปล่อยมือซ้าย ใช้มือขวาจับแฮนด์มือเดียว กะว่ายายเจอสเตปนี้ไป ต้องยอมจ่ายตังค์ซื้อให้แน่ๆ
ด้วยความที่ยังเด็ก กำลังแขนยังไม่มาก แขนขวาของผมรั้งน้ำหนักไว้ไม่ได้ รถเริ่มเอียงซ้ายไปเรื่อยๆ และไปจบการแสดงอยู่ที่รั้วสังกะสีของเพื่อนบ้าน
ผมยังจำบรรยากาศนั้นได้ดี ยายนั่งส่ายหน้าและอบอวนไปด้วยเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ยกเว้น"หนึ่ง เจ้าของรถ" สายตาคู่นั้นของยาย เปรียบเหมือนคำพูดของกรรมการก็อตทาเลนต์ "ยังไม่ผ่านค่ะ"
....
....
เมื่อไม่มีพาหนะ การจะไปสู่จุดหมาย ก็ต้องใช้ร่างกายเคลื่อนที่ไปเอง
การเดินทางไปซื้อขนมหน้าปากซอย ด้วยการ"เดินเท้า" สำหรับผมแล้วเป็นเรื่องที่เร้าใจมากถึงมากที่สุด ช่วงกลางซอยจะมีบ้านของยายA(นานสมมติ) แกเลี้ยงหมาไว้1ตัว สีดำ ดุโครต เด็กๆตั้งฉายามันว่า "แบร์กิ้งแบร์" แค่ไอ้แบร์ฯตัวเดียวก็กลัวขี้ขึ้นหัวแล้ว ยายAยังเลี้ยง"ห่าน"ไว้อีก2ตัว และก็อีกเช่นกัน ดุฉิบหาย!!
การเดินเท้าไปซื้อขนมที่ปากซอยของผม อาจจะเร้าใจพอๆกับการเดินทางของ"โฟรโด"ในหนังเดอะลอร์ดฯ ก่อนจะถึงบ้านของไอ้แบร์กิ้งแบร์ ผมจะต้องมองดูว่าประตูบ้านเปิดอยู่หรือเปล่า และบ้านของยายAอยู่หัวมุมทางโค้ง ประตูบ้านของแกจึงมี2ประตู ถ้าประตู1ปิดก็สบายใจไปนิดนึง ไปลุ้นประตู2ต่อ แต่เวลาเดินผ่านไอ้แบร์ฯจะมาเห่ากรรโชกอยู่ที่หน้าประตู(ผมก็จะแลบลิ้นปลิ้นตาให้มันอยู่บ้าง) ตอนขากลับก็อย่าไว้วางใจ เพราะเคยเจอเคสขากลับ ยายAแกเปิดประตูไว้พอดี ไอ้เราก็เดินกินขนมชิวๆ กว่าจะมองเห็นว่าประตูเปิดอยู่ เสียงเห่าของไอ้แบร์ฯก็ดังแว็บมาแล้ว ...4x100 สิครับ รออะไร
เรื่องวิ่งหนีหมา วิ่งมาหลายรอบแต่ก็เร็วกว่าหมามาตลอด(แอบดีใจ) แต่วิ่งหนี"ห่าน" เร้าใจกว่าหนีหมาหลายสิบเท่า อาจจะเป็นเพราะเคยพลาด ...ใช่ครับผมเคยพลาดวิ่งหนีห่านไม่ทันโดนงับเข้าที่ขา(แต่ไม่เข้า) มันยังคงเป็นตราบาปมาจนปัจจุบันนี้ โธ่...ชีวิต
จำได้ว่า วันนั้นยายAปล่อยห่านออกมาเดินเล่นหน้าบ้าน ผมก็เดินผ่าน(ยังไม่รู้ว่ามันโหดขนาดไหน) สบตากันนิดนึง เออ..ก็แค่ห่านแล้วไง อยู่ๆพี่ห่านแกวิ่งกางปีก ส่งเสียง"แว๊กๆๆ"ปรี่เข้ามาหา
ตอนนั้นตกใจ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมีพิษสงอะไรมาก จึงวิ่งหนีเบาๆ ออกแนวขำๆ แต่พอมันงับเข้าที่ขาเท่านั้นแหล่ะ วิ่งฝุ่นตลบ
เหมือนว่าไอ้แบร์ฯและอีห่าน2ตัว ถูกคุณยายAป้อนข้อมูลไว้ว่า ถ้าเจอมนุษย์ที่เรียกว่าเด็ก จงกำจัดให้สิ้นซาก...เหอะๆๆ
เวลาผ่านไป ผมมีจักรยานเป็นของตัวเองแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยได้ขี่ไปไหนไกลซักเท่าไหร่ ผิดกับของพี่ชาย ที่มันขี่จักรยานไปโรงเรียนได้ การที่ต้องนั่งซ้อนท้ายจักรยานของพี่ชายไปโรงเรียน ฟังดูเหมือนจะสบาย ก็แค่นั่งเฉยๆ มีคนขี่ให้ แต่....การเดินทางไปโรงเรียนต้องผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ ถ้าอารมณ์คนขี่ดี เขาก็จะปั่นให้เรานั่งไปตลอดเส้นทาง แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดี คนนั่งต้องลงเดินไปขึ้นกลางสะพาน(มันขี่ไปจอดรอที่กลางสะพาน) ดีจัง..
บางวันตื่นสาย พี่ชายต้องรีบปั่นทำเวลาให้ทันเข้าเรียน ช่วงถนนลอดใต้สะพาน ทางจะชำรุดมากๆ หลุมมีทุกขนาดมาทั้งครอบครัว พอๆกับหลุมขนมครก ด้วยความเร่งรีบ พี่ชายขี่ฝ่าหลุมขนมครกไปด้วยความเร็วสูง และผลที่ตามมา..... ผมตกรถกลายเป็นหนุมานคลุกฝุ่นตั้งแต่หลุมแรก
...
ช่วงม.1 แม่ย้ายบ้านไปอยู่ที่ใหม่ ที่นี้เองผมได้ขี่จักรยานของตัวเองอย่างอิสระ มีตังค์ค่าขนมก็อดออมไว้แต่งรถจักรยาน เพื่อนใหม่ที่นี่มักจะชวนผมไปขี่จักรยานขึ้น"เขาแก่นจันทร์" ทุกครั้งที่รู้ว่าจะต้องไปขึ้นเขาแก่นจันทร์ ผมจะต้องเปลี่ยนผ้าเบรคล้อหลังรอไว้เลย เพราะตอนลงเขามันเร้าใจมาก
ขาขึ้นเขา ทางบางช่วงชันมากๆ เราก็จะจูงรถเอา ทางไหนพอจะขี่ไหวก็ปั่นกันสุดฤทธิ์ ผมชอบบรรยากาศบนยอดเขามาก ข้างบนมี"พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ (พระสี่มุมเมือง)" ประเทศไทยมีอยู่4จังหวัด
-ทิศเหนือ ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดลำปาง
-ทิศใต้ ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดพัทลุง
-ทิศตะวันออก ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดสระบุรี
-ทิศตะวันตก ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดราชบุรี
พวกเราจะไหว้พระปิดทอง นั่งคุยนั่งเล่นกันซักพัก แล้วช่วงเวลาเร้าใจก็มาถึง ทางลงเขาจะยาวประมาณ50-60เมตร ก็จะเป็นทางโค้งตัวยู สลับกันไปแบบนี้จนถึงตีนเขา แต่จะมีอยู่ช่วงหนึ่งเป็นทางลาดตรงยาว ทางช่วงนี้จะมีไว้ให้พวกผมได้ใช้ประลองความเร็วกันอยู่เสมอ พวกเราจะปล่อยให้รถจักรยานใหลลงมาพร้อมๆกัน ถือว่าเป็นช่วงวัดใจกันเลยก็ว่าได้ ใครเบรคก่อนจะเป็นผู้แพ้ แต่ผู้ชนะก็เสี่ยงจะเบรคไม่อยู่ด้วยเช่นกัน
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราแข่งวัดใจกันเช่นเดิม แต่ด้วยความมั่นใจในผ้าเบรคที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ ผมปล่อยรถให้ใหลไปไกลมากที่สุด เมื่อเห็นว่าเพื่อนๆเบรคกันทุกคนแล้ว ผมยังปล่อยรถให้ใหลไปอีกนิดนึง และผมก็บีบเบรคอย่างสุดแรงเกิด แต่ก็ยังต้านความเร็วที่มีอยู่ไม่ได้ จุดนั้นต้องใช้เบรคสำรองช่วยโดยด่วน ผมใช้เท้ารากับพื้นช่วยอีกแรง แต่ก็ยังเอาไม่อยู่ วินาทีนั้นทางออกสุดท้ายต้องสละยานแม่แล้วล่ะ ผมกระโจนตัวออกจากรถจักรยานคู่ชีพทันที
รถจักรยานพุ่งชนขอบถนนกันตกเขา หน้ารถบูดเบี้ยว ถ้าผมไม่สละยานแม่ หน้าคนขี่ก็คงบูดเบี้ยวด้วยเช่นกัน ผมได้บาดแผลเล็กน้อย แต่ที่เสียใจมากที่สุดก็คือ...
....
....
รองเท้าSchollพื้นสึกไปเยอะเลย
....โอ้ หม้าย....ย.ย จริ๊ง..ง.ง
วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ประทินผิว
ร่างกายมนุษย์มีผิวหนังเป็นอวัยวะที่คอยปกปิดห่อหุ้มอวัยวะภายในอื่นๆ มนุษย์ให้ความสำคัญกับผิวหนังมากที่สุด สรรหาเครื่องประทินผิวเพื่อจะดูแลให้มันคงสภาพเดิมไว้ ไม่ให้เสื่อมไปตามกาลเวลา
ตั้งแต่เด็กเราไม่เคยสนใจที่จะดูแลผิวหนังเลย อาบน้ำเสร็จ ทาแป้งนิดหน่อยก็จบแล้ว ห่วงแต่จะไปเล่นท่าเดียว กว่าจะรู้สึกตัวว่า เฮ้ย...ต้องหาครีมมาทาหนังหน้าบ้างซะแล้ว ก็โน้น....ตอนเข้าสู่วัยรุ่น
ผมเริ่มดูแลผิวหน้าก็เพราะทำตามพี่ชาย เรื่องทาครีมบนใบหน้าผมไม่ค่อยเน้น แต่เน้นแบบหนักแน่นไปที่โลชั่นเช็ดหนังหน้าซีบรีส(Sea Breeze) ซีบรีสถือเป็นนวัตกรรมที่กระชากใจวัยรุ่นในยุค'90มาก มีให้เลือกใช้หลากหลายสูตร หลายสี แต่จะให้เร้าใจที่สุด ต้อง"สีฟ้า"
ไม่ว่าจะเวลาไหน จะหลังล้างหน้า หลังกินข้าวเที่ยง หลังจากโดนครูด่า จะหลังอะไร เวลาไหนเราก็หยิบขวดซีบรีสบีบใส่สำลีแล้วเช็ด ยิ่งเช็ดก็ยิ่งรู้สึกสะอาด สดชื่น ยิ่งเห็นสำลีที่เช็ดหนังหน้ามีสิ่งสกปรกติดออกมาด้วยยิ่งสะใจ นี่แหน่ะ!!! บีบใส่สำลี ทาอีกรอบ..
เราหลงเพลิดเพลินในความสะอาดของซีบรีส แต่ไม่ได้คิดถึงผลข้างเคียงของมันเลย หลังจากมีเพื่อนๆเริ่มบ่นให้ฟังถึงความร้ายกาจที่แอบแฝงมากับซีบรีส บางคนก็ว่าใช้ไปนานๆจะแพ้ บางคนก็ว่าหน้าเละ สิวแห่กันมาทั้งจักรวาล ผิวหนังหน้าจะบางลง จมูกจะบี้ ตาจะบอด ฯลฯ (อี2ข้อหลังนี่มันฟังแล้ว หดหู่จัง)
ผมเริ่มไม่ค่อยมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์นี้ซะแล้ว ผมจึงหันไปคบกับครีมทาหน้ายี่ห้อเฮสลีน สโนว์(Hazeline Snow) หรือเรียกกันง่ายๆว่า ครีมภูเขา ทาครั้งนึงนี่ก็นะ...อืม ขาวเด่นมาก
เวลาว่างๆ ผมจะหาซื้อผง"สมุนไพรสุภาภรณ์" มาเพิ่มประสิทธิภาพความกระจ่างของใบหน้า เริ่มจากซองสีเหลืองขัดหนังหน้าไปก่อน 1 รอบ แล้วค่อยตามด้วยผงพอกหนังหน้าซองสีเขียว ตอนพอกหน้าจะได้อารมณ์เหมือนเล่นดินสอพองงานวันสงกรานต์ แต่มันมีความเย็นเพิ่มเข้ามา พอล้างออก คุณจะพบกับความกระจ่างใสแบบไร้ปรานี แต่10นาทีผ่านไป แม้ง...ดำเหมือนเดิม
ปัญหาเรื่อง"สิว" ถือว่าเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับวัยรุ่นจริงๆ ช่วงวัยรุ่นใบหน้าของผมจะไม่ค่อยมีสิวมารบกวนซักเท่าไหร่ แต่พี่สิว แกจะมาเยือนตอนช่วงที่จะมีกิจกรรมพิเศษๆ อย่างเช่น ....อีก 2 วัน ที่โรงเรียนจะจัดงานกินเลี้ยงปีใหม่ พี่สิวแกก็แวะมาเยือน(ดีมากๆ) ....วันมะรืน จะนัดเจอสาวๆ พี่สิวแกก็แวะมาหาอีกเช่นเดิม พี่สิวแกคงรู้ว่าเราเครียด แกเลยส่งสิวเลเวลสูงสุดมาเยือน "สิวหัวช้าง" โอ้วหม้ายนะ!!
ถือว่าเป็นช่วงเวลาวิกฤตระดับที่4 ต้องหาวิธีมาจัดการไอ้สิวเม็ดนี้ไปให้ได้ บางคนแนะนำว่า ปล่อยไว้เฉยๆเดี่ยวมันก็หายไปเอง(ข้อนี้ทำไม่เคยได้เลย) บ้างก็ว่าเอากอเอี๊ยะมาติดที่หัวสิว อื่นๆอีกเยอะแยะ แต่วิธีที่ผมเลือกจะทำก็คือ.. บีบ !!
การบีบสิว ใช่ว่าจะบีบกันสุ่มสี่สุ่มห้า เราจะต้องสังเกตุว่าการอับเสบของสิวมาถึงระดับใด ถ้าเม็ดสิวปูดโปนขึ้นมาเหมือนภูเขาไฟฟูจิ และที่ยอดภูเขาไฟมีสีเหลืองของหนองนิดๆ นั่นก็หมายความว่า ภูเขาไฟใกล้จะระเบิดแล้วล่ะ
ถ้าสิวเม็ดใหญ่ๆ การบีบอาจจะทำให้หัวสิวมีความเร่งออกจากแก้มพุ่งไปสู่กระจกได้ และสิ่งที่จะตามมาก็คือ ลาวา...
หลังจากนั้นไม่นาน พี่สิวจะค่อยๆจากเราไป แต่พี่แกกลัวว่าเราจะลืมเรื่องที่แกเคยมาเยือนบนใบหน้าเรา แกจึงทิ้งรอยแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ....ขอบใจนะ
...
ช่วงม.ต้น ในสังคมของเพื่อนๆตอนนั้น เรื่องทรงผมก็มาแรงพอๆกับการดูแลใบหน้า พอมีเวลาว่างเป็นต้องแวะเข้าห้องน้ำไปแอบใส่น้ำมันใส่ผมยี่ห้อ"แอคชั่น"
การใส่น้ำมันใส่ผมหรือเจลมาโรงเรียน ถือว่าผิดกฎ แต่มันก็มีพวกชอบแหกกฎอยู่แล้วล่ะ เหมือนว่าจะกลัวอาจารย์ฝ่ายปกครองจะว่างงาน เดี๋ยวแกเหงา...
จุดนั้น ถ้าใครใส่น้ำมันแอคชั่นมาโรงเรียน ผมเงาแว๊บ หรือใส่เจลทำผมตั้งๆ บุคคลนั้นจะถูกสรรเสริญเยินยอจากคนรอบๆข้าง แต่ถ้าระหว่างวัน เดินไปประจันหน้ากับอาจารย์ฝ่ายปกครองเข้าล่ะก็... "ไปล้างออกเดี๋ยวนี้"(เสียงสูงปรี๊ด)
เด็กม.ต้นกับเรื่องทรงผม เป็นอะไรที่กดดันพอสมควร เพราะอาจารย์ฝ่ายปกครองจะตั้งด่านตรวจหลังจากเลิกเข้าแถวหน้าเสาธงตอนเช้าเป็นประจำ หึหึ...มานี่เลย งิบๆๆ
จำได้ว่ามีอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านชอบงิบผมนักเรียนมากๆ ชอบเป็นชีวิตจิตใจ นักเรียนจึงตั้งฉายาให้ว่า "ธิดา บาร์เบอร์"
ผมไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่องโดนตรวจผมซักเท่าไหร่ เพราะช่วงนั้นผมจะตัดทรงสั้นมากๆเป็นทรงประจำตัวไปเลย แต่ก็มีปัญหาอื่นเข้ามาแทน การที่ตัดผมทรงนักเรียนไถข้างหลังขาวๆ จะตกเป็นเป้าหมายของไอ้พวกมือตบ ไอ้พวกนี้จะชอบย่องมาข้างหลัง แล้วก็....เพี๊ยะ!!
"เออ.... ดังดีว่ะ"
ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของคนรอบๆตัว
....
....
กูล่ะเกลียดพวกมึงจริงๆ...
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ปม
ความอ่อนแอมีอยู่ในตัวของทุกคน ความอ่อนแอถือว่าเป็นจุดอ่อนชนิดหนึ่งของจิตใจ ไม่ว่าความอ่อนแอนั้นจะเกิดมาจากความจำอันเจ็บปวดในอดีต ฝังเป็นปมเล็กๆอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ ถ้ามีเหตุการณ์ในปัจจุบันเกิดขึ้นให้ได้รับรู้หรือไปกระตุ้นปมเล็กๆปมนั้น เราอาจจะทำพฤติกรรมที่ผิดพลาดลงไปได้ โดยที่ไม่รู้ตัวเลย
ภายในจิตใจของแต่ละคน อาจจะมีความทรงจำที่แย่ในอดีต เป็นความทรงจำที่เลวร้าย จนจิตใจจำฝังลึกลงไปเป็น"ปมด้อย"
...
เด็กน้อยคนหนึ่ง เติบโตมาในครอบครัวเล็กๆ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย จนถึงวันที่ต้องเข้าเรียนวันแรก
การที่ต้องเข้าเรียนอนุบาลวันแรก มันเหมือนหนังดราม่าน้ำตาท่วมจอเรื่องหนึ่ง การที่ต้องยืนมองแม่ค่อยๆเดินจากไป(หลังจากที่มาส่งเข้าห้องเรียน)จนลับสายตา น้ำตามันก็พรั่งพรู ทะลักล้นออกมา
ทุกครั้งที่ว่างจากกิจกรรมของครู เด็กน้อยจะมานั่งหน้าห้องเรียน เหม่อมองไปที่ถนน คิดว่า เมื่อไหร่นะ..ที่แม่จะมารับเราซักที??
แว๊บแรก ที่เห็นแม่เดินมารับกลับบ้าน แม่คงไม่รู้หรอกว่า... แม่ได้พก"ความสุขก้อนโต" มาให้เด็กอนุบาลคนนี้ด้วย
เด็กน้อยมักจะมานั่งเหม่อลอยคอยมองหาแม่เป็นประจำ จนทำให้เด็กน้อยไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
เวลาผ่านไป เด็กน้อยเรียนชั้นประถมแล้ว ด้วยการที่เป็นเด็กตัวเล็กๆ ผอม ดำ ชอบทำอะไรตัวคนเดียว จึงถูกเพื่อนๆแกล้งเป็นประจำ
กิจกรรมปิดตารุมตีหัว เอาของไปซ่อน โดนเตะ โดนต่อย เด็กน้อยเจอมาจนชินชา
เวลาพักเที่ยง เด็กน้อยจะรีบลงไปซื้อทอดมัน 2 ไม้ พร้อมขอน้ำจิ้มเยอะๆ เพื่อจะนำมาราดข้าวเปล่า ที่ใส่อับข้าวมากินมื้อเที่ยงบนห้องเรียน เมื่อกินอิ่มแล้ว ก็จะเดินลงไปกินน้ำที่ก๊อกน้ำหัวทองเหลือง หน้าโรงอาหาร เป็นแบบนี้ประจำ
เด็กน้อยจะเหลือเงินไว้ซื้อผลไม้ ร้านยายแก่ๆคนนึง ตอนเย็นหลังเลิกเรียนเป็นประจำ เด็กน้อยสงสารยายแก่ ที่ต้องลำบากมาขายของ ใครจะว่าร้านของยายแก่สกปรก แต่เด็กน้อยไม่เคยรังเกียจเลยซักนิดเดียว
บรรยากาศโรงเรียนตอนโพล้เพล้ เป็นบรรยากาศที่เด็กน้อยต้องพบเจอเป็นประจำ เพราะต้องนั่งรอแม่มารับกลับบ้าน แม่ต้องทำงานหนัก บางวันงานเยอะก็มารับกลับบ้านช้า
วันเสาร์-อาทิตย์ ถ้าแม่มีงานเยอะ แม่ก็จะพาเด็กน้อยและพี่ชายไปช่วยงานด้วย แม้จะอยากดูการ์ตูนช่อง9ตอนเช้ามากแค่ไหนก็ตาม...
แม่ของเด็กน้อยตอบแทนการไปช่วยทำงานด้วยการพาไปซื้อเครื่องเกมส์แฟมิลี่ แม่ใจดีที่สุด เรื่องจะแฮปปี้เอ็นดิ้ง ถ้าเด็กน้อยไม่ทะเลาะกับพี่ชายเรื่องการเลือกตลับเกมส์ซะก่อน...
ด้วยบุคลิกที่เป็นคนผอมแห้งแรงน้อย ครูประจำชั้นจึงมอบทุนอาหารกลางวันให้เด็กน้อย เด็กน้อยดีใจ ....จะได้กินข้าวในถาดหลุมอลูมิเนียมซะที..
เด็กน้อยรอว่าเมื่อไหร่ คุณครูจะนำบัตรอาหารกลางวันมาให้เขา ประจวบกับวันนั้น เพื่อนของเด็กน้อยไม่อยากกินข้าวในโรงอาหาร จึงให้บัตรเด็กน้อยไปกินแทน
เด็กน้อยคิดว่า อย่างไงเขาก็ได้โครงการอาหารกลางวันแล้ว การเอาบัตรเพื่อนไปกินก็คงไม่ได้ผิดอะไร
เที่ยงวันนั้น เด็กน้อยเดินเข้าโรงอาหารด้วยใบหน้าเบิกบาน ยื่นบัตรให้นักเรียนเวรตรวจ เดินไปหยิบถาดหลุม เดินต่อแถวยื่นถาดให้เขาตักอาหารใส่ถาด เดินมานั่งที่โต๊ะ ข้าวในถาดหลุมในฝัน..
แต่....ยังไม่ทันจะได้ตักข้าวใส่ปาก ครูที่คุมโรงอาหารก็มาดึงตัวให้ตามเขาไปคุยในร้านสหกรณ์
เด็กน้อยถูกตั้งข้อหาเอาบัตรของเพื่อนมาใช้ เพราะชื่อที่บัตรกับชื่อที่ปักบนเสื้อไม่ตรงกัน เด็กน้อยบอกเหตุผลของเขาว่า เขาได้โครงการอาหารกลางวันแต่บัตรยังไม่ออก น่าจะใช้บัตรเพื่อนแทนไปก่อนได้
ครูไม่ฟังเหตุผล เด็กน้อยถูกต่อว่าต่อขาน ถูกครูหยิกที่แขน ต่อหน้าเด็กๆที่มาซื้อของในร้านสหกรณ์
...
แววตาที่หยามเหยียดของครูท่านนั้น เด็กน้อยจำได้ฝังใจ
ปมเล็กๆปมนี้ ได้มัดแน่นอยู่ภายในจิตใจของเด็กน้อย เพียงเพราะแค่ "อาหารมื้อเที่ยง" มื้อเล็กๆในถาดหลุมอลูมิเนียม แค่นั้นเอง
วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ลอกเลียนแบบ
ตั้งแต่แรกเกิดมา เราไม่รู้จักอะไรเลยซักอย่าง แม้แต่อาการหายใจก็ทำไม่เป็น เพราะตอนอยู่ในท้องแม่ เรารับสารอาหารทั้งหายใจผ่าน"รกแม่" ความรู้สึกแรกเลยตอนที่เด็กทารกคลอดออกมา การที่ต้องสูดอากาศเข้าปอดครั้งแรก ตามสัญชาตญานการเอาชีวิตรอด ลมหายใจแรกที่ผ่านตั้งแต่จมูกลงไปถึงในปอด คงเปรียบเสมือนการเริ่มต้นการแสดงละครชีวิตบทใหม่....อีกครั้ง
เพราะ"ไม่รู้" จึงต้อง"เรียนรู้" กระบวนการเรียนรู้เริ่มเกิดขึ้นอย่างช้าๆ อะไรคือความหิว อะไรคือหนาว เด็กเริ่มเรียนรู้และจดจำ การซึมซับพฤติกรรมจากบุคคลรอบๆข้างก็เกิดขึ้น
เด็กจะมีพฤติกรรมลอกเลียนแบบทั้งอุปนิสัย คำพูด กิริยาท่าทาง จากบุคคลรอบๆตัว จากสภาพแวดล้อม และไอ้ตัวพฤติกรรมลอกเลียนแบบนี้แหล่ะ ที่มันสามารถจะเปลี่ยนกิริยาอาการได้ในระยะเวลาสั้นๆ และรวมไปถึงเปลี่ยนนิสัยใจคอได้ในระยะยาว
ผมเคยสงสัยว่าทำไม เมื่อเราเห็นคนมีอาการ"หาว" เราจะต้อง"หาว"ตามไปด้วย เก็บความสงสัยมานาน จนเมื่อมีพี่"กู(เกิ้ล)" ผมก็ได้คำตอบ ว่าที่เราหาวตามๆกันไปนั้น มันเกิดจากพฤติกรรมลอกเลียนแบบนั่นเอง
ช่วงเรียนปวส. ผมเคยทดสอบพฤติกรรมลอกเลียนแบบจากคนใกล้ชิด กับเพื่อนๆในห้องเรียน
ช่วงคาบเรียนวิชาเขียนแบบ อาจารย์จะทิ้งเวลาให้นักเรียนเขียนงาน2ชม. ช่วงเวลาที่ตั้งใจเขียนแบบอยู่ตอนนี้ ผมจะเริ่มการทดสอบ....
ผมเริ่มร้องเพลง นักโทษประหาร(เพลงของพี่แมว จิรศักดิ์ ดังมากช่วงนั้น) ท่อนฮุก" มันจบแล้ว จบแล้ว อย่าเลย อย่าเสียเวลากับฉันดีกว่า" ผมร้องเบาๆ วนไปวนมา ในใจคิดว่า "ไอ้เก่ง" เพื่อนที่นั่งโต๊ะติดกัน มึงต้องร้องตามกูแน่ๆ
.....
ผมหยุดร้องเพลง นั่งเขียนแบบไปเงียบๆ ซักช่วงแค่อึดใจเดียว
....." มันจบแล้ว จบแล้ว อย่าเล๊ย อย่าเสียเวลากับช้านดีกว่า..." เก่งร้องเพลงตามผมเบาๆในลำคอ
สำเร็จ....!!
แบบนี้ต้องไปลองกับคนอื่นๆอีกเพื่อความแน่ใจ
ผมลุกไปยืนดู"ไอ้เติร์ก"เขียนแบบอยู่ข้างๆมัน ผมร้องเพลงท่อนเดิมระหว่างยืนดูเติร์กเขียนแบบไปด้วย ร้องไป2รอบ และก็ถอยมาแอบฟังห่างๆ ดูซิว่าเติร์กจะร้องตามมั้ย??
.....
.....
นานไปว่ะ หรือว่าจะใช้กับเติร์กไม่ได้ผล
.....
.....
... ."ทำเสร็จแล้ว เสร็จแล้ว อย่าเลย อย่าเสียเวลา กินข้าวดีกว่า" เติร์กเปลี่ยนเนื้อร้องให้เสร็จสรรพ
Yes....!!!
ต่อไป ผมคิดทดลองกับเด็กเนิร์ดๆ และต้องขุดเพลงเก่าๆมาเป็นเพลงทดสอบ
ผมเดินไปหา"เกรียงไกร" เพื่อนที่เนิร์ดที่สุดขณะนั้น ผมทำฟอร์มไปยืนดูเขาเขียนแบบ และก็ร้องเพลง" เทียน ไม่ มี ไฟดับ เสือก เทียน ไม่ มี จะทำไง ไฟดับ เสือก เทียน ไม่ มี ไฟดับ เสือก เทียน ไม่ มี" อ่ะจัดเพลงนี้ไปให้ ดูซิว่าจะออกมาแบบไหน
ถอยมาแอบฟังห่างๆ
....
" เทียน หม้าย หมี่ ฮือ ฮื่ม ฮือ ฮื่ม ฮื้อ ฮือ" เกรียนไกร ฮืมเพลงเบาๆ
เนิร์ดก็เนิร์ดเถอะ เสร็จไปอีกราย
ผมถือว่าการทดลองของผมสำเร็จลุล่วง เป็นที่น่าภูมิใจอย่างมาก
การใส่จังหว่ะ ทำนองเข้าไปในถ้อยคำพูดปรกติ สามารถเปลี่ยนให้ผู้ฟังจดจำประโยคนั้นได้ดีมากขึ้น บางคนฟังเพลงแค่รอบเดียว ร้องตามได้แล้ว แต่ถ้าให้มาลองฟังเป็นคำอ่านแบบประโยคธรรมดา ก็คงต้องใช้เวลานานกว่าจะจดจำได้ทั้งหมด หลักการนี้ถูกนำไปใช้กับการสวดมนต์บทต่างๆด้วยเช่นกัน
อีกหนึ่งพฤติกรรมที่ผมแอบสงสัยมานาน ทำไมต้อง"ไทยมุง" พม่ามุงได้ไหม?? และฮังการีจะมาแอบมุงบ้างได้หรือเปล่า?? อยากรู้จริงๆ
ทุกครั้งที่เริ่มมีกลุ่มคนยืมล้อมวงกันเป็นกลุ่ม ทำไมต้องเกิดอาการอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาโดยพลัน หรือว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์ จะสั่งให้สมองมีอาการ"เสือก"เป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมอยากรู้ อยากเห็น
บ่ายวันหนึ่งระหว่างรอเข้าเรียน ผมเห็นขี้หมากองหนึ่ง ผมนั่งมองขี้หมากองนี้อยู่นานประดุจมันคืองาน"ศิลปะ"ชิ้นเอก ผลงานชิ้นนี้แยกออกเป็น4ส่วน ส่วนฐานเป็นวัตถุทรงกระบอกโค้งขดเป็นวงกลมงดงาม ส่วนที่2เป็นวัตถุทรงกระบอกวางพาดเป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง ส่วนที่3เป็นวัตถุทรงกระบอกอีกเช่นกันแต่คราวนี้วางพาดทับส่วนที่2เป็นรูปกากบาทอยู่บนฐานวงกลม
เฮ้ย....หรือว่ามันจะบอกใบ้ว่าจุดนี้มีขุมทรัพย์
ไฮไลท์อยู่ที่ส่วนสุดท้าย พี่แกคงสับสนว่าจะพอแล้วหรือจะเบ่งขี้ต่อไปอีก ผลงานจึงออกมาเป็นก้อนแหลมๆอยู่บนกากบาท อารมณ์เหมือนมีวิปครีมมาแปะอยู่ด้านบน นี่มันต้องใช้พรสวรรค์ล้วนๆ ยากที่จะลอกเลียนจริงๆ
ผมนั่งอมยิ้มจ้องมองดูอยู่นาน จนอดใจไม่ไหวต้องลุกขึ้นไปยืมมองใกล้ๆ สันนิษฐานเบื้องต้น ผลงานชิ้นนี้คงถูกแดดเผามานานพอสมควร ดูจากสีภายนอกที่ออกไปทางดำคล้ำแบบนี้ล่ะก็....กรอบนอกนุ่มในแน่ๆ ฟันธง...!!!
ผมยืนมองอยู่ไม่นาน เพื่อนๆก็เริ่มมามุงด้วย
"กูว่าไม่ใช่ขี้หมาว่ะ ต้องเป็นไอ้พวกเด็กศิลป์ช็อปข้างๆ มาแอบขี้ไว้แน่ๆ" เพื่อนท่านหนึ่งวิเคราะห์ได้มีเหตุผล
"ผลงานชิ้นยอดแบบนี้ เอาไปสตาฟเก็บไว้เหอะ" เพื่อนอีกท่านออกความเห็น
เอ่อ...คือมึงเอาไปเก็บไว้ที่หัวเตียงห้องมึงเถอะ
เพื่อนๆต่างวิจารณ์กันไปต่างๆนานา เฮฮากันไป
ไม่นานก็มีไทยมุงเยอะขึ้น ขณะที่สายตาเพื่อนๆจับจ้องผลงานศิลปะอยู่นั้น ....
......
......
"เฮ้ย พวกมึงยืนทำอะไรกันวะ" เสียงเติร์กดังมาจากด้านหลังของผม เติร์กเดินแทรกเข้ามากลางวง โดยที่เติร์กไม่รู้ตัวเลยว่า เติร์กได้ทำลายผลงานศิลปะอันเลอค่าไปซะแล้ว
"ไอ้เติร์กเหยียบขี้.!!!!!!!!!" เพื่อนๆเปล่งเสียงประสานพร้อมกัน
จุดนี้เพื่อนๆเปรียบเหมือนลูกดาร์ก้อนบอล ที่ถูกขอพรเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระจายออกไปคนละทิศคนละทาง ทิ้งให้เติร์กยืนนิ่ง งงแดกอยู่คนเดียว
เติร์กออกสเตปท่าเต้น"มูนวอล์ก" ของ ไมเคิล แจ็คสัน ลากขี้เป็นทางยาวไปห้องน้ำ
.....
เติร์กเป็นคน"ขี้"สงสัย จริงๆ
ปล. ขอไว้อาลัยให้ เติร์ก ไว้ ณ ที่นี้
รักเพื่อนเสมอนะ
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
เชื่อ..
ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ที่เราปฎิบัติสืบต่อกันมา ทำให้เราเกิดความเชื่อ เชื่อว่าสิ่งที่ทำต่อๆกันมาเป็นสิ่งที่ดี เขาว่าทำแล้วดี เราก็ทำตาม(แล้ว เขา คนนั้นคือใคร)
ในช่วงเวลา1ปี จะมีวันที่จัดงานตามประเพณีต่างๆ ไม่ว่าจะประเพณีจากพุทธศาสนา ประเพณีจากต่างประเทศ เราก็ทำตามไปด้วย ผมมักจะนั่งคิดว่า ประเพณีนี้ทำไปจะได้อะไร จุดประสงค์หลักคืออะไร ผมมักจะแอบสงสัยอยู่คนเดียวเบาๆ อย่าเชื่อ..จนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง
หลายปีก่อน ชีวิตผมถึงช่วงขาลง ทำอะไรก็ดูจะเลวร้ายไปซะหมด พอเกิดทุกข์ ก็เริ่มจะหาที่พึ่งพิง เพื่อนผมแนะนำให้ไปดูดวงต่อโชคชะตา
เรื่องโชคชะตา ผมเชื่อว่ามันลิขิตชิวิตได้ 50% อีก 50% เราเลือกที่จะทำตัวของเราเอง หลังจากไปดูดวงก็ได้แค่ความสุขใจเมื่อหมอดูบอกว่าดี ถ้าหมอดูบอกว่าไม่ดีเราก็กลับมาทุกข์ใจหนักกว่าเดิมไปอีก และถ้าเจอหมอดูหลอกให้แก้ดวง หนักไปทางหลอกแดก ก็เสียเงินเสียทองเละเทะ
แต่มีพิธีกรรมอยู่ชนิดหนึ่ง ซึ่งผมจะได้พบเจอตามสื่อโฆษณา ทั้งรถโฆษณา ใบปลิว ได้อ่านแล้วก็ได้รู้ว่า ถ้าได้เข้าร่วมพิธีจะขจัดสิ่งชั่วร้าย อีกทั้งยังปกป้องคุ้มครองให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญ
"พิธีสวดภาณยักษ์" ฟังแค่ชื่อก็น่ากลัวแล้ว ผมตัดสินใจจะไปร่วมพิธีนี้ ที่วัดแห่งหนึ่งห่างจากตัวเมืองไปหลายกิโลเมตร ผมชวน เจ๊ต๋อม และ อาร์ม ไปร่วมพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วย
จากข้อมูลใบปลิวโฆษณา พิธีจะเริ่มตอน1ทุ่ม ผมออกเดินทางไปตั้งแต่5โมงเย็น ไปถึงสถานที่จัดงาน พวกผมตรงเข้าไปที่ศาลาจัดพิธีทันที ตอนนั้นด้วยเสียงของโฆษก ที่คอยพูดบิ้วอารมณ์ให้รู้สึกเข้มขลัง บวกด้วยสภาพแวดล้อมตอนนั้น ทำให้ผมแอบกลัวอยู่เล็กๆ
เดินเข้าถึงศาลา ก็เจอซุ้มบูชาพระราหู ต้องไปเปลี่ยน(ซื้อ)ของเซ่นไหว้ชุดละ100บาท อ่ะ..จัดไป เพื่อความเป็นศิริมงคลก่อนเข้าพิธี ต่อมาก็ต้องบูชาขันครู และอื่นๆอีกมากมาย บรรยากาศภายในศาลา มีสายสิญจน์ขึงเป็นตารางและปล่อยห้อยลงมาเป็นวงๆ เพื่อให้ครอบที่ศรีษะผู้ร่วมพิธี ผมเลือกที่จะนั่งแถวกลางๆ แต่ระหว่างนั่งรอพิธีเริ่ม โฆษกก็จะชวนให้ไปทำบุญกับซุ้มต่างๆที่ตั้งอยู่รอบศาลา
ผมได้ดูคลิปการสวดภาณยักษ์มาก่อน เมื่อถึงช่วงพระสวดทำพิธี ใครที่มีของ ก็อาจจะมีอาการ"ของขึ้น" อากัปกิริยาก็แล้วแต่ว่าท่านใดมีของชนิดใด กระโดดโลดเต้นหรือนั่งสั่นงันงก ก็แล้วแต่สเตปใคร สเตปมัน
ผมสงสัยว่า พวกที่ของขึ้นในงานแบบนี้ มันเป็นของจริงหรือเปล่า?? ทำไมต้องขึ้น?? หรือว่าโดนจ้างมาทำให้พิธีดูขลัง(ความคิดส่วนตัวนะจ๊ะ)
แต่ก็เอาเถอะ เดี่ยวพิธีก็จะเริ่มแล้ว เดี๋ยวรู้แน่...
ตั้งแต่บรรทัดต่อไปนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้น กะด้วยสายตาแล้วน่าจะประมาณ50-60คน พระสงฆ์นั่งประจำตำแหน่งเรียบร้อย ทุกคนนำสายสิญจน์มาคล้องไว้ที่หัวตัวเอง ผมแอบตื่นเต้นเล็กๆ เผื่อว่าผมอาจจะมีของหรือพลังลึกลับที่หลับใหลอยู่ในตัว รอเวลาที่จะระเบิดพลังสูงสุดขึ้นมาในคืนนี้ก็เป็นได้...
....
....
เอาสิ เริ่มเล๊ย
......เสียงอีตาโฆษกประกาศให้ผู้ร่วมพิธีช่วยกันเช่า(ซื้อ)นางกวัก มีอยู่5องค์ ในราคา499บาท
เฮ้ย !! นี่จ้องจะขายของอย่างเดียวเลยเรอะ??
ผู้ร่วมพิธีนั่งเงียบ ไม่มีใครสนใจที่จะเช่านางกวักเวอร์ชั่นอ้วนจ้ำม่ำ โฆษกออกอาการหงุดหงิด "ถ้าเงียบๆแบบนี้เราขอคิดค่าบูชาแค่399บาท" โห้...ลดราคากันเห็นๆ
แต่ผู้ร่วมพิธีก็ยังนั่งเงียบ
"ผมขอเปิดราคาสุดท้ายที่299บาท" เสียงโฆษกพูด แหม่... ลดกระฉูดรูดราดขนาดนี้กันเลยทีเดียว แต่ผู้เข้าร่วมพิธีก็ยังคงนั่งเฉย ผมเริ่มจะสงสัยเพิ่มเข้าไปอีก นี่มันมีธุระกิจแฝงเข้ามาร่วมด้วยสินะ ดูท่าทางแล้ว ถ้าไม่มีใครเช่านางกวักซักองค์ คงไม่ได้เริ่มพิธีแน่
ผมนั่งรอจนพลังลึกลับในตัวผมหดหายไปแล้วล่ะ ความน่าเบื่อเข้ามาแทนที่ความขลัง สุดท้ายไม่มีใครซื้อ นั่งรอไป15นาที แล้วพระก็เริ่มสวด...
ผมนั่งฟังพระสวดไปเรื่อย ผมใช้สายตาจ้องจะจับผิดคนรอบๆตัวผม ดูซิว่าใครจะของขึ้นบ้าง พระสวดจบ อ้าว...ไม่มีใครขึ้นเลยอ่ะ แอบเสียใจนิดๆ
ทำไมพิธีจบเร็วจัง ผมบ่นพึมพำ เสียงหลวงพ่อพูดออกไมโครโฟนว่า "พิธีสวดภาณยักษ์ จะเริ่มขึ้นต่อไปนี้" (อ๋อ..ขอโทษครับ ผมไม่รู้จริงๆ) หลวงพ่อพูดเตือนเรื่องครูบาอาจารย์สำหรับผู้สักยันต์ อาจจะของขึ้นได้ ให้ตั้งสติให้มั่น คิดถึงแต่คุณงามความดี แล้วจะผ่านพิธีนี้ไปได้ด้วยดี
ผมเหมือนโดนกล่อมให้พิธีนี้ดูน่ากลัวขึ้น และผมก็คิดว่าหลายๆคนกลัว แล้วพิธีก็เริ่มขึ้น เสียงประทัดดัง เสียงกลองดัง เสียงพระก็เริ่มสวด..
เสียงสวดดังโหยหวนมากครับ เหมือนว่าฝ่ายมิกซ์เสียงจะปรับให้เสียงไมโครโฟนดังขึ้นกว่าช่วงแรก หูจะแตกครับตอนนี้ ไหนจะเสียงประทัด เสียงกลอง ใครขี้กลัวก็นั่งหลับตาปี๋กันเลยล่ะ
ผมนั่งลืมตาคอยมองว่าใครจะของขึ้นคนแรก (ออกแนวจ้องจับผิด) เสียงบทสวดยังคงดังโหยหวนต่อไป
อ๊ะ...หญิงสาวที่นั่งห่างจากผมไป3ช่วงตัว เริ่มตัวสั่น ร้องไห้ แล้วแกก็ลุกขึ้นยืน!! จุดนี้ผมยังเฉยๆนะ คิดว่า โดนจ้างมาแน่ๆ เพราะสเตปการสั่นและแอคติ้งการร้องไห้ผมยังไม่ให้ผ่าน
พระรูปหนึ่งรีบเดินมาพร้อมลูกศิษย์อุ้มขันน้ำมนต์มาด้วย หลวงพ่อใช้กำคา(หญ้าแห้งมัดรวมเป็นกำ)จุ่มน้ำมนต์และก็ประพรมไปที่หัวของหญิงคนนั้น 1ครั้ง หญิงก็ยังคงร้องไห้ต่อไป ตอนนี้เพื่อนที่มากับหญิงคนนั้นต้องจับตัวกันจ้าล่ะหวั่น หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ไปอีกครั้ง "ฮือๆๆ " เสียงหญิงร้องไห้ หลวงพ่อเพิ่มความแรงในการพรมน้ำมนต์ไปที่หัวของหญิงสาว เรียกว่าฟาดหัวน่าจะเหมาะสมกว่า ตอนนี้ไม่มีน้ำมนต์แล้วครับ หลวงพ่อฟาดหัวหญิงสาวรัวๆกันเลย
ได้ผล..!! หญิงสาวนั่งลง อาการสงบนิ่ง หลวงพ่อฟาดหัวไปอีก2ทีเพื่อความชัวร์ ทุกอย่างเข้าสู่ความปรกติ เสียงสวดยังโหยหวนต่อไป
ผมยังคงกวาดสายตามองหาผู้ที่จะของขึ้นรายต่อไป และไม่นานก็มาอีก1คน คราวนี้เป็นชายวัยกลางคน ลุกเต้นกระโดดไปๆมาๆ หลวงพ่อท่านเดิมรีบปรี่เข้าหาเป้าหมายทันที แต่คราวนี้ กำคาและขันน้ำมนต์ไม่ต้อง ท่านใช้มือตบไปที่หลังของชายคนนั้น ปากก็ท่องคาถาพร้อมกันไปด้วย ตบไป3ที จอดเลยครับ นั่งนิ่ง..
ตอนนั้นผมคิดว่า คนที่ของขึ้นคงถูกจ้างมาแน่นอน ผมนั่งฟังพระสวดไปเรื่อย แต่แล้วเรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น
น้องชายของผมที่นั่งติดกับผมด้านขวามือ เริ่มนั่งตัวสั่น ผมหันไปมองอาร์มที่นั่งพนมมือก้มหน้าหลับตาตัวสั่น เหมือนแผ่นดินตรงตูดที่อาร์มนั่งอยู่จะมีอาการแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริกเตอร์ อาการสั่นเริ่มรุนแรงขึ้น จุดนั้นผมเป็นห่วงน้องอยากจะเรียกให้หลวงพ่อมาช่วยน้องชายโดยด่วน หันหลังจะไปเรียกพลวงพ่อ โอ้....ไม่ต้องเรียกแล้วครับ หลวงพ่อมายืนรอข้างหลังเราแล้ว (เร็วจัด)
หลวงพ่อท่องคาถางึมงำๆ ลูกศิษย์เข้ามายึดอาร์มไว้ให้อยู่นิ่ง หลวงพ่อตบหลังไป2ผัวะ อาร์มยังคงออกสเตปบีบอย นอนดิ้นวนไปวนมาไม่หยุด หลวงพ่อพูดว่า"ไม่หยุดเหรอ เปิดเสื้อมันออก" ลูกศิษย์รีบเปิดเสื้ออาร์มขึ้นทันที ผมเห็นรอยสักหนุมานของอาร์ม มันนูนแดงขึ้นมาอย่างชัดเจน หลวงพ่อตบลงไปที่รอยสักอย่างแรง จากรอยสักที่นูนแดงก็กลับเป็นสีดำตามปรกติ เหลื่อเชื่อ..!!
อาร์มนั่งก้มหน้านิ่ง ผมสะกิดอาร์มเบาๆ อาร์มลืมตาขึ้นเหมือนเพิ่งตื่นนอน ผมถามว่าเมื่อกี้เป็นอะไร อาร์มตอบว่า "ไม่รู้เรื่องเลย" เฮ้ย...นี่มันง่ายไปมั้ย
อาร์มยังคงนั่งฟังพระสวดต่อไป ผมยังแอบหวั่นๆว่าอาร์มจะมีอาการอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหรือเปล่า
เสียงบทสวดสิ้นสุดลง หลวงพ่อเดินมาประพรมน้ำมนต์ให้ผู้เข้าร่วมพิธีทั่วทั้งศาลา เสียงโฆษกเจ้าเดิมเชิญชวนให้เจิมหน้าเสริมศิริมงคลที่บูทที่1 และมีอีกหลายๆบูทให้เราได้เลือกสรรเสริมโชคชะตาบารมี
อาร์มเลือกเข้าบูทครอบเศียรพ่อแก่ ผมก็ไปยืนต่อแถวด้านหลังของอาร์ม หลวงพ่อหยิบเศียรมาครอบหัวทีละคน ผู้ที่ถูกครอบนั่งคุกเข่าพนมมือ หลวงพ่อท่องคาถางุบงิบๆ ไม่นานก็เสร็จพิธี
ถึงคิวอาร์มแล้ว อาร์มนั่งคุกเข่าพนมมือ หลวงพ่อยกเศียรพ่อแก่มาครอบ .....อาร์มสั่นเป็นเจ้าเข้าอีกแล้ว!!! นี่ไง..อาฟเตอร์ช็อก
หลวงพ่อรีบยกเศียรพ่อแก่ออกทันที อาร์มนั่งหลับตาสงบนิ่ง เฮ้ย..นี่มันฉากเดิมตอนเมื่อกี้เลยนี่หว่า อาร์มค่อยๆลืมตาขึ้น ผมถามคำถามเดิม"เมื่อกี้เป็นอะไร" และอาร์มก็ตอบเหมือนเดิม"ไม่รู้เรื่องเลย"
ผมไม่ได้ครอบเศียรพ่อแก่ต่อจากอาร์ม ผมยังมีคำถามมากมายที่ต้องถามน้องชายผม ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่คำตอบที่ได้ก็คือ มันไม่รู้เรื่องเลย เหมือนวูบหลับไป
ผมขับรถกลับบ้านด้วยอาการสงสัย ทำไมของต้องขึ้น?? รอยสักหนุมมานของอาร์มที่เปลี่ยนสีจากแดงเป็นดำได้อย่างไร?? หรือว่าการสักยันต์ตัวเราจะเป็นสื่อกลางให้องค์ทั้งหลายมาควบคุมกายหยาบเราได้??หรือว่าเป็นเพราะจิตอ่อน?? โอ้ย...เยอะ
มีหลายสิ่งที่คนเราไม่สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยสมอง ถึงจะค้นคว้าหาคำตอบเพียงใดก็คงไม่ได้คำตอบ ยิ่งคิดก็ยิ่งสบสน นี่สินะที่เรียกกันว่า "อจินไตย"
วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
เก้าอี้
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราหนีไม่พ้นเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่กว่าจะไปถึงจุดสุดท้ายที่ความตาย เราก็ต้องผ่านเรื่องราวของ 3 ข้อแรกซะก่อน ผมคิดว่า "เกิด"และ"แก่" ไม่น่ากลัวเท่าไหร่นะเด็กๆอ่ะ แต่พี่"เจ็บ"นี่สิของจริง..!!
เจ็บ ในที่นี้ก็หมายถึง การเจ็บไข้ได้ป่วย การเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ร่างกายบาดเจ็บ คงไม่มีใครอยากมีโรคมารุมเร้าให้ร่างกายเปื่อยยุ่ยเป็นทิชชูเปียกหรอก และ ณ ตอนนี้ ผมเป็นโรคปวดหลัง
ผมเคยนั่งคิดว่า ผมปวดหลังเพราะอะไร และผมก็พอจะฟันธงได้ว่าเป็นเพราะ ท่านั่ง ของผมนั่นเอง
ผมนั่งเก้าอี้ได้ไม่นาน อาการปวดหลังก็มักจะมาไล่ให้ผมต้องลุกขึ้นเสมอ หรือผมจะเคยทำกรรมไว้กับเก้าอี้...
เก้าอี้พลาสติก จัดว่าเป็นที่นั่ง ชนิดไม่น่าไว้วางใจชนิดหนึ่ง ซึ่งเราๆมักจะมองข้ามความน่ากลัวของมันไป
สมัยม.ต้น ผมและโรจน์ ไปนั่งกินข้าวกันที่ร้านในตลาด ระหว่างรอแม่ค้าผัดข้าวอยู่ เราสองคนก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย โรจน์ชี้มือให้ผมหันหลังไปดูสาวๆที่เพิ่งจะเดินผ่านไป ผมหันไปตามนิ้วชี้ของโรจน์ "เออว่ะ ก็น่ารักดีนะ" ผมหันหลังกลับมาที่โต๊ะ อ้าว..!! โรจน์หายไป เฮ้ย..นี่มึงไปเรียนเล่นกลหายตัวมาเรอะ เช็ดโด้...
"โอยยยย" เสียงโรจน์ครวญครางอยู่ที่พื้น "อ้าว มึงลงไปนอนทำไมล่ะ ง่วงเรอะ??" อาการตกใจที่เพื่อนหายตัวไป เปลี่ยนเป็นอาการเฮฮา
เก้าอี้พลาสติกตัวที่โรจน์นั่งอาจจะผ่านการผลิต ที่ผิดวิธีไปหน่อย คือ เก้าอี้ไม่ได้กรอบหักนะครับ แต่เก้าอี้มันอ่อน แล้วก็งอพับหงายหลังไปเลย ถ้าเก้าอี้หัก มันจะมีเสียงมาเตือนสติเราก่อนสักเสี้ยววินาที ให้เราได้ตั้งตัวทัน แต่นี่อยู่ดีๆพี่แกงอพับหงายหลังไปง่ายๆเงียบๆแบบนี้ ตกหลุมอากาศชัดๆ
มีอีกครั้งที่ผมมีเรื่องตื่นเต้นกับ"เก้าอี้พลากติก"พวกนี้ คืนนั้นผมไปงานศพที่วัดใกล้บ้าน ในศาลามีเก้าอี้พลาสติกจัดวางไว้เรียบร้อย แขกเหรื่อหาที่นั่งกันตามอัธยาศัย ผมเลือกนั่งที่ริมๆ
พระเริ่มสวด...
...
...
....เสียงดัง กร๊อบบ...บ.บ!! ทุกคนในศาลาหันไปตามเสียง ภาพลุงคนหนึ่งนอนอยู่ที่พื้นท่ามกลางเศษเก้าอี้พลาสติก เก้าอี้แตก..!!!
ไม่รู้ว่าใครเริ่มหัวเราะก่อนคนแรก แต่ผมก็หัวเราะตามไปด้วยเบาๆ(คนเจ็บนะเว้ย..)
ผมว่าลุงไม่กลัวเจ็บหรอก กลัวเสียฟอร์มมากกว่า ทางเจ้าภาพรีบนำเก้าอี้ตัวใหม่มาให้ลุงนั่งแทน บรรยากาศภายในศาลากลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
พระเริ่มสวด....
...
...
กร๊อบบบบ...บ.บ !! เหมือนรีเพลย์ฉากอีตาลุงคนเมื่อกี้หงายหลังอีกรอบ แต่คราวนี้เป็นผู้หญิงวัยกลางคน เสียงหัวเราะเข้ามาแทนที่เสียงพระสวดอีกครั้ง (คนล้มมันเจ็บนะเว้ย) นี่เราอยู่ในสังคมที่โหดร้ายอะไรเช่นนี้
ผมกลั้นหัวเราะไว้ กร๊อบบบบ..บบ.บ ผู้หญิงร่างอวบเกือบจะถึงอ้วน หงายหลังไปอีกคน เฮ้ย...!! นี่เรามานั่งเล่นเก้าอี้ดนตรีกันเรอะ เสียงหัวเราะหายไป กลายเป็นเสียงบ่นงึมงำๆ ใจความเสียงคล้ายๆกันทุกคน "เก้าอี้กูมันจะหักมั้ยวะ..."
ไม่ทราบว่าท่านผู้มีเกียรติท่านใด จะได้รางวัลอัมพฤกษ์ตลอดชีพกลับบ้านไปแบบฟรีๆ แต่ผมไม่อยากได้
ตอนนี้หลวงพ่อพักเบรคให้ญาติโยมได้สำรวจเก้าอี้กันกันก่อน เสียงเจ้าภาพพูดออกไมโครโฟน"ถ้าท่านใดคิดว่าเก้าอี้ไม่แข็งแรง ให้มารับเก้าอี้ไปซ้อนอีก1ตัวเพื่อเพิ่มความแข็งแรงนะคะ" เอ่อ แก้ปัญหาได้ตรงจุดจริงๆ
จุดนั้น ผมยืนขึ้นแล้วลองเอามือกดตรวจเช็คดูความแข็งแรงของเก้าอี้หลายรอบ แต่ก็ไม่ได้ไปเอาเก้าอี้อีกตัวมาเสริม มันคงไม่มากรอบตัวที่กูนั่งหรอกน่า..
พระเริ่มสวดอีกรอบ ภาพบรรดาแขกที่นั่งอยู่ในศาลา อาจจะดูไม่งามตานัก เพราะมีสูง-ต่ำสลับกันไป
นั่งฟังพระสวดไป ความหลอนก็เข้ามาในหัว "มันจะหักมั้ยวะ?" ผมกำจัดความหลอนด้วยวิธีง่ายๆ โดยการนั่งทิ้งน้ำหนักให้ลงไปที่เก้าอี้น้อยที่สุด ....แล้วน้ำหนักที่เหลือไปไหนล่ะ??
อยู่ที่ขากู..
....
....
A B C D E F G
H I J K L M N O P
Q...!!
ตะคริวแดกขา
ผมค่อยๆลุกขึ้น เดินกระเผลกๆออกไปนอกศาลา สรุปคืนนั้นไม่ได้นั่งฟังพระจนจบ ไม่กล้ากลับไปนั่งเก้าอี้หรรษาตัวนั้น กลัวได้ของแถมกลับบ้าน
.........
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ฉันนั่งตกปลา อยู่ริมตลิ่ง..(4)
อ็อดตกได้ปลาเกล็ด(ปลาเกล็ดซื้อกลับบ้านได้) แต่พวกเราไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นปลาอะไร ตัวมันอ้วนๆกลมๆไม่เคยเห็น
น้านพแกตกปลามานมนาน เรื่อแค่นี้จิ๊บๆ แกเดินมาดูแล้วบอกว่า "ปลานิล" อ็อดเดินไปเรียกให้เจ้าของมาชั่ง กะว่าจะให้เจ้าของบ่อทอดให้กินกันเลย สดๆ สุดยอด..
เจ้าของบ่อเดินมาก้มดูปลา
แล้วก็บอกว่า นี่มันปลา"กระโห้" ในบ่อนี้มีไม่กี่ตัว ไม่ให้เอาออก (อ้าว
ไหนกูรูบอกว่าปลานิลไง) อ็อดทำหน้าเหมือนปลากระโห้ แล้วก็ปล่อยปลากระโห้ลงน้ำไป
บรรดาญาติๆเริ่มจะกลับบ้านกันไปเรื่อยๆ
จนตอนนี้เหลือแค่ ตัวผม น้านพ อ็อด อาร์ม(น้องชาย) รวมกัน4คน นั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย
จุดนี้ น้านพเริ่มจะนอกใจเหยื่อสูตรฟ้าประทานมาใช้ขอบขนมปังบ้างแล้ว
ปลามันถูกเลี้ยงด้วยขนมปัง
พอเรามาใช้ขนมปังเป็นเหยื่อ ปลาก็ติดเบ็ดบ่อยขึ้น คันเบ็ดมี4คัน เรานั่งเฝ้าคนละคัน
น้านพจะเฝ้าคันเบ็ดคันใหญ่ที่สุด ส่วนคนอื่นเฝ้าคันเล็ก
ช่วงหัวค่ำตกได้บ้าง หลุดบ้าง
ก็สนุกดี เพราะอย่างไงก็ต้องปล่อยกลับลงบ่อ อ็อดกระดกเหล้าหมดแก้ว
แล้วบ่นเบาๆว่า"รอให้เจ้าของบ่อกลับบ้านก่อนเหอะ เสร็จกูแน่"
เจ้าของบ่อพร้อมลูกสาวกลับไปแล้ว
สีหน้าของอ็อดเปล่งประกายความชั่วเต็มที่ เรา4คนนั่งวางแผนกันว่า ถ้าตกปลาได้
ให้อาร์มโยนข้ามฝั่งไปให้อ็อดซึ่งจะไปรออยู่ข้างนอกรั้ว
อ็อดก็จะรีบโยนปลาขึ้นหลังกระบะที่จอดอยู่หน้ารั้วพอดี
ผมทำหน้าที่ไปยืนดูลาดเลาพวกคนงานพม่าเผื่อมันเดินมาเห็น เราตกลงกันตามนี้..
ทุกอย่างลงตัว
รอแค่จะมีปลาผู้โชคร้ายตัวไหนมากินเหยื่อแค่นั้นเอง ไม่นานปลาก็กินเหยื่อ
ปฎิบัติการลับสุดยอดก็เริ่มขึ้น น้านพอาสาที่จะเย่อปลาขึ้นฝั่ง
อ็อดเดินหน้านิ่งๆออกไปรอข้างนอกรั้ว
ผมเดินถือแก้วเหล้าพร้อมฟอร์มว่าคุยโทรศัพท์ไปนั่งดักตรงมุมบ่อ
ดูความเคลื่อนไหวของคนงานพม่า อาร์มยืนถือสวิงเตรียมช้อนปลาขึ้นฝั่ง
ผมมองไปเห็นอาร์มช้อนปลาสวายขนาดประมาณ
15 กิโลกรัม
ขึ้นจากบ่อน้ำ ได้ตัวนี้ไปอิ่มทั้งบ้านแน่ๆ
อ็อดสั่งสัญญานให้อาร์มโยนปลาข้ามรั้วมา
ผมเห็นอ็อดอ้าแขนรอรับเต็มที่(กลัวปลาตกพื้น) อาร์มจับปลาที่หางชูขึ้นพร้อมจะเหวี่ยงข้ามไป
กรรมที่ส่งผลรวดเร็วที่สุดผมจะขอยกให้ข้อ"ลักทรัพย์" เพราะแค่เริ่มจะทำ ใจก็เต้นรัวยิ่งกว่าเสียงเบสในผับซะอีก นาทีนั้นตื่นเต้นเหมือนกำลังปล้นร้านทองที่เยาวราช
ผมหันกลับไปมองที่บ้านพักคนงานพม่าครู่หนึ่งเพื่อความชัวร์
ผมหันกลับมาดู
ก็เห็นภาพอาร์ม กำลังชูปลาขึ้น และ....ปล่อยกลับลงบ่อไป
อ็อด: เฮ้ย...!!
น้านพ: เฮ้ย...!!
อ็อดตาถลน อ้าปากค้าง
เหมือนกอลั่มผิดหวังที่ไม่ได้ของรักของข้า โธ่เอ้ย..
อ็อดเดินกลับมานั่งที่โต๊ะด้วยอาการหงุดหงิด
"มึงปล่อยปลาทำไมวะ" อ็อดถาม
ในขณะที่อาร์มกระดกเหล้าหมดแก้วแล้ว
ตอบเสียงสั่นๆว่า "มันเรียกชื่ออาร์ม"
มึงจะบ้าเรอะ..!!!
"มันเรียกอาร์มจริงๆนะ ดัง
อั๊ม อั๊ม" จุดจุดนั้น อยากโทรเรียกพี่ริว
จิตสัมผัสให้มาดูอาการน้องชายผมด่วนเลย โธ่ อิห่า
ปลาสวายพอมันขึ้นมาอยู่บนบกมันก็หายใจปากพะงาบๆ ก็มีเสียงแบบนั้นทุกตัวล่ะเว้ย
เรานั่งมองหน้ากันไปๆมาๆ
แล้วก็หัวเราะกันลั่นบ่อ
.....
หรือว่าจะทำบาปไม่ขึ้น
ผมและอ็อดเก็บคันเบ็ดแล้วมานั่งกินเหล้าอย่างเดียวดีกว่า
ตอนนี้ผมไม่อยากได้ปลากลับบ้านแล้วครับ เข้าใจว่า
วินาทีนั้นปลามันไม่อยากตายหรอกนะ
อาร์มอาจจะได้ยินว่ามันเรียกชื่ออาร์มเพื่อขอชีวิตจริงๆก็ได้
อาร์มสัมผัสได้จริงๆค่ะ
อาร์ม (ญาณทิพย์)
อ็อดยังคงบ่นๆอยู่ว่า
"เราเอามันไปกินไม่บาปหรอกน่า" ถ้าน้านพตกได้อีกตัว
ปฎิบัติการลับสุดยอดนี้ มันจะดำเนินการคนเดียวเอง
เวลาล่วงเลยไป
อ็อดเอ่ยปากชวนกันกลับบ้าน น้านพเดินไปจะเก็บเบ็ด
แต่แล้ว..ปลากินเหยื่อคันเบ็ดของน้านพ !!
อ็อดรีบวิ่งไปถือสวิงรอทันที
พร้อมทั้งบอกให้อาร์มนั่งรอเฉยๆ "เดี๋ยวกูุจัดการเอง"
น้านพเย่อกับปลาตัวนี้อย่างเมามันส์เลยครับ
อ็อดก็ยืนลุ้นอยู่ข้างๆกัน น้านพต่อสู้กับปลาตัวนั้นนานมากครับ
นานจนอ็อดกลับมานั่งเอามือเกยคางรอที่โต๊ะ
และน้านพก็ทำสำเร็จ
อ็อดต้องใช้สองมือลากสวิงที่มีปลาตัวใหญ่ขึ้นจากน้ำ
ตอนนี้อยากจะกรี๊ดให้บ้านแตกซะเหลือเกิน เพราะปลาที่เอาขึ้นมามันตัวใหญ่มาก
น้านพเดินไปจุดบุหรี่
แล้วก็เดินกลับมาชื่นชมผลงานของแก "ปลาบึก 40-50 กิโลได้มั้ง" แกพูด
อย่างเท่..
ไม่ต้องชื่นชงชื่นชมอะไรแล้วครับ
อ็อดฉุดกระชากลากถูกปลาบึกบิ๊กบึ้มตัวนั้นไปที่ริมรั้วแล้ว
ภาพอ็อดยกปลาตอนนั้นแม้งโครตขำ คือตัวมันก็ลื่น หนักก็หนัก ยกเดี๋ยวก็หล่น
เสื้อผ้าเละครับ
อ็อดบอกให้ผมไปรับข้างนอกรั้ว
ปลาบึกถูกอ็อดโยนมาข้างนอกรั้ว ผมรีบเปิดฝากระบะท้าย
แล้วรีบจับหางปลาเพื่อจะเหวี่ยงขึ้นหลังกระบะ แต่...ผมเหวี่ยงไม่ไหว โครตหนัก
ด้วยความร้อนรน(กลัวคนมาเห็น) อ็อดออกมาช่วยผมยกปลาตัวนั้นขึ้นรถครับ
แต่ไม่ได้เอาไว้หลังกระบะนะครับ พวกเราเอาปลาบึกบิ๊กบึ้มไปใส่ไว้ในรถ ตรงเบาะแค๊บ
(ไอเดียโครตดี..)
ผมและอ็อด
รีบออกรถไปออกห่างจากจุดนั้นอย่างเร็ว (น้านพและอาร์ม เอารถมาคนละคัน)
ขับออกมาได้ซักพัก เริ่มจะตั้งสติได้ เพราะกลิ่นคาวปลาเต็มรถมากๆ เอ่อ
แล้วกูเอาปลามาใส่ในรถทำไมวะเนี่ยะ...
ปลาบึกตัวยาวนอนขวางอยู่ที่เบาะแค๊บ
ผมจอดรถแล้วเอามาใส่ไว้ที่กระบะหลังแทนที่ เอาไงต่อดีวะ
...และอาร์มก็โทรมาให้ไปรับที่บ้านด้วย ผมขับไปรับอาร์ม และไปต่อกันที่บ้านน้านพ
นาด(ลูกพี่ลูกน้อง)
เดินมาดูแล้วอุทาน..โห้!! ขนาดนี้ขายได้หลายพัน ร้านอาหารรับซื้อแน่นอน
ผมและอ็อดเริ่มลังเล จะขายหรือจะเอาไว้กินดีกว่ากัน
ปลาบึกอึดมากครับ
ขนาดผ่านมาเกือบ1ชั่วโมง
มันยังไม่ตาย เราช่วยกันยกปลาไปหลังบ้าน เอาหัวปลาแช่ไว้ในกาละมัง
ผมเดินมาหน้าบ้าน
เพื่อตกลงกับอ็อดว่าจะเอาไปขายหรือเอาไว้กิน สรุปว่าเราจะเอาไปขาย เพื่อนำเงินมาซื้อเหล้า
แต่...
.....
โป๊กๆๆ
เสียงดังมาจากหลังบ้าน ผมรีบวิ่งไปดู เอ่อ...คือ
ตอนนี้น้านพเอามีดตัดหัวปลาออกเรียบร้อยแล้ว
....หมดกัน
แต่ก็เอาเถอะ
เอาไว้กินก็ได้
คืนนั้นน้านพทำปลาบึกผัดฉ่าให้กิน1จานใหญ่ ผมกินไปนิดเดียว
ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองผิด ผิดที่ขโมยปลาออกมาจากบ่อ
ผิดที่มีส่วนร่วมในการฆ่าปลาบึกตัวนี้
ทุกชีวิตรักชิวิตตัวเอง
ภาพปลาบึกตัวใหญ่ผมยังจำได้ดี ปลาบึกบิ๊กบึ้มตัวนั้นโชคไม่ดีเท่าปลาสวายที่ส่งเสียง"อั๊ม อั๊ม"
ตั้งแต่วันนั้น จนถึงปัจจุบัน
ผมไม่เคยตกปลาอีกเลย
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ฉันนั่งตกปลา อยู่ริมตลิ่ง..(3)
ความเชื่อของคนเรา มีทั้งเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง และเชื่อในสิ่งที่ผิด ถ้าเราถูกปลูกฝังให้เชื่อในสิ่งที่ผิดมาเป็นระยะเวลานาน จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นความเชื่อที่"งมงาย"ไปในที่สุด
ผมเคยเชื่อว่า ปลาไม่มีเส้นประสาท ปลาไม่รู้สึกเจ็บปวด การตกปลาเป็นกีฬา ตกปลามากินไม่บาป นี่คือความเชื่อด้วยการฟังตามกันมา ซึ่งผมเพิ่งจะมาเข้าใจว่าความเชื่อเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ผิด
ผมเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตทุกชีวิต"รักตัวกลัวตาย" ซึ่งเรื่องนี้ผมได้เจอมากับตัวเองและจำได้อย่างฝังใจ
ช่วง4ปีที่แล้ว ผมจะนิยมชมชอบการไปนั่งดื่มสุราที่บ่อตกปลา(ฟิชชิ่งปาร์ค) ไม่ค่อยสนใจตกปลาหรอกครับ ชอบนั่งดูคนอื่นเย่อกับปลามากกว่า
ตอนแรกๆที่เข้ามาวงการตกปลาที่บ่อ ปลากินเหยื่อครั้งหนึ่งนี่ก็นะ ดีใจกันทั้งโต๊ะ แย่งกันใครจะเป็นคนเย่อเข้าฝั่ง พอเอาขึ้นฝั่งมาได้ ดีใจกันนิดหน่อย ก็ต้องปล่อยกลับลงบ่อไป เพราะมันเป็นกฎของบ่อปลาส่วนใหญ่เขาวางกฎเหล็กไว้ "ห้ามนำปลาออกจากบ่อเด็ดขาด"
อะไรที่ได้มาง่ายๆมันไม่เร้าใจหรอกครับ ตกปลาที่บ่อ มันน่าตื่นเต้นแค่2ตัวแรกแค่นั้นแหล่ะ พอมีปลาติดเบ็ดอีกตัว ตอนนี้เกี่ยงกันแล้วครับ ไม่มีใครอยากเย่อกับปลาแล้ว ปวดแขน นั่งกินเหล้าดีกว่า..
บ่อตกปลาส่วนใหญ่ จะนิยมเลี้ยงปลาจำพวกปลาสวาย ปลาบึก เพราะปลาพวกนี้แรงเยอะ ปากหนาทนต่อแรงดึงของตัวเบ็ด ปลาหลายๆตัวจะมีร่องรอยบาดแผลที่ปากเยอะมาก
วันหนึ่ง 'อ็อด'แนะนำว่ามีบ่อตกปลาเปิดใหม่ ถ้าตกปลามีเกล็ดขึ้นมาได้ สามารถซื้อกลับบ้านได้ ดี๊ดี!! อ๊ะ..ต้องไปลองซักหน่อย
ช่วงนั้นผมมักจะชวนน้าเขยไปตกปลาด้วยกัน น้าเขยอยู่ในวงการตกปลามาหลายปี น้าเขยมีคันเบ็ดหลายคัน อุปกรณ์เพียบพร้อม
....งั้นเราไปลองบ่อใหม่กันเถอะ
น้าเขยจะมีสูตรผสมเหยื่อใหม่ๆมานำเสนอตลอด ผสมน้ำแดงเฮลบลูบอย ผสมกลิ่นวนิลา ฯลฯ การตกปลาโดยใช้สูตรเหยื่อฟ้าประทานของน้านพ(น้าเขย) จะออกไปทางแนวเงียบเหงาเป่าสาก แต่เราก็แอบมีความหวังเล็กๆ ว่าจะได้ปลามาอวดไอ้โต๊ะข้างๆซักตัวนึงก็ยังดี
การที่ไปนั่งตกปลาที่บ่อ มันก็เหมือนกับการแข่งขันตกปลา กับโต๊ะข้างๆนั่นแหล่ะ
ไอ้โต๊ะข้างๆนี่ก็ได้เอาๆ เดี๋ยวก็ยกปลามาเซลฟี่ เดี๋ยวก็ได้อีกแล้ว ตัดภาพมาโต๊ะกูนี่แบบว่า นั่งกินเหล้ากันเพลิน เบ็ดนิ่งสนิท
แต่......เฮ้ย!! "ปลากินเบ็ดแล้วโว้ย" อ็อดตะโกนเสียงดัง ความหวังที่จะได้ปลามาเซลฟี่กะเขาบ้างเริ่มจะแจ่มชัดขึ้น น้านพกระโจนไปวัดคันเบ็ดอย่างมืออาชีพ อ็อดก็กระโจนไปจับสวิงช้อนปลามาเตรียมพร้อมเช่นกัน
น้านพค่อยๆหมุนรอกช้าๆพร้อมทั้งสอนอ็อดไปด้วยว่า ต้องหมุนแบบนี้นะ ดูแรงด้วยว่าปลาสู้มากน้อยแค่ไหน บลาๆ ยิ่งฟังก็ยิ่งขลัง หึหึหึ อีโต๊ะข้างๆมึงเตรียมตกใจได้เลย ใหญ่กว่าของมึงแน่ๆ หึหึ...
ปลาถูกลากเข้ามาใกล้ฝั่ง อ็อดรีบใช้สวิงช้อนปลาขึ้นมาทันที อ็อดชูสวิงขึ้นพร้อมกู่ร้องอย่างสะใจ
อนิจจา....
ปลาตะเพียนตัวขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ในสวิง "อ็อดมึงรีบปล่อยลงน้ำเหอะ กูอายโต๊ะข้างๆ" ...
ถ้ามีเวลาว่างผมมักจะชวนเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ให้มานั่งชิลๆที่บ่อตกปลาบ่อนี้ พวกเราไปกันบ่อย ไปจนสนิทกับเจ้าของบ่อ
ช่วงแรก ผมนั่งแช่จนบ่อเขาจะปิด เจ้าของก็ให้ลูกสาวมานั่งเฝ้า ทำหน้าเป็นตูดลิง บ่อยๆเข้าก็ไม่มาเฝ้าอีกเลย แต่มีคนงานพม่าคอยเฝ้าบ่ออยู่ท้ายๆบ่อโน้น ไม่มาสนใจพวกเราหรอก
นั่งกินอย่างเสรีแบบนี้ ก็เข้าทางเพ่อ่ะดิ....
บางวันผมนั่งกันถึง5ทุ่ม ทั้งที่ร้านปิด2ทุ่ม นั่งกินเหล้าไปเรื่อย อ็อดไอเดียบรรเจิดว่า "ถ้าได้ปลาตอนนี้นะ กูจะโยนข้ามรั้ว(ลวดหนาม)ไป แล้วมึงไปรอรับข้างนอก ไม่มีใครรู้หรอก"
เรื่องชั่วๆไว้ใจ..อ็อด
ปัญหาตอนนั้นไม่ใช่เรื่องการจะแอบเอาปลาออกจากบ่อได้อย่างไร แต่คือว่า เราจะตกปลาให้ขึ้นมาจากบ่อได้อย่างไร เพราะปลาที่นี้ แม้ง..ไม่ค่อยจะกินเหยื่อเลย (เอ๊ะ...หรือว่าไม่ชอบเหยื่อฟ้าประทาน) สรุปคืนนั้น ได้ปลานิลตัวขนาด3นิ้วกลับบ้านตึวนึง(ดีใจที่สุด)
หลายวันถัดมา ผมนัดญาติๆไปนั่งกินข้าวที่บ่อตกปลาตั้งแต่หัวค่ำ
"น้านพ"ขนเบ็ดมา4คัน
พร้อมอุปกรณ์เหมือนปรกติ แต่คราวนี้อ็อดไปล้วงความลับจากลุงโต๊ะข้างๆ
ได้ความลับขั้นสุดยอดมาว่า ที่บ่อนี้ใช้ขนมปังเลี้ยงปลา ถ้าจะตกปลาที่นี่
ก็ต้องใช้ขนมปังปั้นเป็นก้อนๆ แค่นั้นเอง ได้ปลาแน่ๆ
อ็อดมาบอกน้านพว่าต้องใช้ขนมปัง
ปลาถึงจะกินเหยื่อ แต่น้านพยังเชื่อมั่นในสูตรฟ้าประทางของแกต่อไป
ที่บ่อมีขอบขนมปังขายพอดี ผมกับอ็อดจึงใช้เหยื่อเป็นขอบขนมปัง สรุปคันเบ็ดมี4คัน ใช้สูตรฟ้าประทาน2คัน และใช้ขนมปัง2คัน ไม่นาน คันเบ็ดที่อ็อดนั่งเฝ้าด้วยความหวังก็กระตุก
อ็อดวัดคันเบ็ดอย่างแรง อ็อดเย่อกับปลาอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช ผมเอาสวิงมาเตรียมพร้อม ไม่นานผมก็เอาสวิงช้อนปลาขึ้นมาบนฝั่งได้สำเร็จ
น้านพใช้หางตามองมาที่ปลาในสวิง แล้วก็หันไปมองที่ปลายคันเบ็ดของแกต่อไป
.....
ที่บ่อมีขอบขนมปังขายพอดี ผมกับอ็อดจึงใช้เหยื่อเป็นขอบขนมปัง สรุปคันเบ็ดมี4คัน ใช้สูตรฟ้าประทาน2คัน และใช้ขนมปัง2คัน ไม่นาน คันเบ็ดที่อ็อดนั่งเฝ้าด้วยความหวังก็กระตุก
อ็อดวัดคันเบ็ดอย่างแรง อ็อดเย่อกับปลาอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช ผมเอาสวิงมาเตรียมพร้อม ไม่นานผมก็เอาสวิงช้อนปลาขึ้นมาบนฝั่งได้สำเร็จ
น้านพใช้หางตามองมาที่ปลาในสวิง แล้วก็หันไปมองที่ปลายคันเบ็ดของแกต่อไป
.....
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ฉันนั่งตกปลา อยู่ริมตลิ่ง..(2)
ทุกชีวิตรักชีวิตตัวเอง แต่ก็มีบางเสี้ยววินาทีที่คนมีชีวิตไม่รักชีวิตตัวเอง ข่าวการฆ่าตัวตายถึงได้มีอยู่บ่อยๆในสังคม
ความเข้าใจผิดๆในเรื่องบาปบุญคุณโทษ รู้ไม่จริง รู้ไม่แจ้ง เขาเรียกว่า "อวิชชา"
ผมและอ็อด ถูกอวิชชาครอบงำอย่างแรงเลยครับช่วงนั้น ตั้งแต่เบ็ดของรักของข้า ถูกพรากไปโดยความเขลาเบาปัญญาของอ็อด ผมและอ็อดก็ลงขันซื้อเบ็ดคันใหม่มาอีกจนได้
อ็อดบอกว่า "กูว่านะ วันที่คันเบ็ดหักน่ะ โดนเจ้าที่แกล้งแน่ๆ" เออว่ะ มานั่งวิเคราห์กันแบบเชิงลึกแล้ว ผมและอ็อดก็เชื่อมั่นว่ามันเป็นจริงอย่างที่อ็อดพูด อ็อดเสนอแนวคิดใหม่ว่า "ถ้างั้น...เราไปตกปลาให้ห่างๆเขตวัดดีกว่านะ" (ไม่ได้รู้สึกสลดอะไรเล๊ย)
ผมเริ่มเสาะหาสถานที่ตกปลาแห่งใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นห้วย หนอง คลอง บึง ที่ไหนใครว่าดี เราก็จะตามไปดู ...
อาจจะเป็นเพราะทำบาปไม่ขึ้น ผมและอ็อดก็ค่อยๆห่างหายจากการตกปลาไปเอง แต่มันก็มีนานๆทีไปนั่งตกปลาที่บ่อ(ฟิชชิ่งปาร์ค)กันบ้าง
ช่วงที่ผมเรียนปวช. มีบ่อตกปลามาเปิดใหม่ บรรยากาศดี นั่งกินเหล้าชิลๆตกปลาไปด้วย ...ดี!! และเพื่อนของผม(กอล์ฟ)ก็รู้จักกับเจ้าของบ่อ ...โครตดี!!!
วันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดของกอล์ฟ เรานัดหมายเจอกันที่บ่อตกปลาช่วงหัวค่ำ โดยมี"โรจน์"เพิ่มมาอีก1คน
มีคนเคยบอกว่า "เหล้าเป็นของเหลวที่สามารถเปลี่ยนนิสัยคนได้" และผมก็เชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรา3คน นั่งดื่มกินกันไปเรื่อย ไม่ค่อยได้สนใจตกปลาซะเท่าไหร่ ผมและโรจน์ นิสัยคล้ายๆกัน คือถ้าเมาแล้วจะสนุกสนาน เฮฮา แต่...ถ้ากอล์ฟเมา กอล์ฟจะร้องไห้...
ผมและโรจน์ รู้ข้อเสียของเพื่อนดีอยู่แล้ว จึงพยายามชงเหล้าให้กอล์ฟบางที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่แล้ว ญาติของกอล์ฟก็มาร่วมโต๊ะด้วย และญาติของกอล์ฟเป็น"ตำรวจ"
ผมนั่งดื่มกัน3คนหมดเหล้าไปไม่ถึงครึ่งขวด ญาติกอล์ฟมานั่งครู่เดียว ขวดรั่วทันที ก็พี่แกบอกว่า "ลูกผู้ชายต้องเข้ม" แล้วผมจะไปกล้าปฎิเสธตำรวจได้อย่างไงล่ะครับ
อ่ะ เข้มก็เข้มสิวะ เหล้าถูกสั่งมาอีกขวด แล้วมันก็เป็นไปตามคาด กอล์ฟเริ่มดราม่า เหงา อ้างว้าง เดียวดาย คืออะไรที่เป็นปมเศร้าๆในใจของมัน มันระบายออกมาหมด กอล์ฟเปลี่ยนศาลาริมบ่อน้ำให้กลายเป็น "ศาลาคนเศร้า"ไปซะแล้ว
ผมและโรจน์ช่วยกันปลอบประโลม หวังว่าจะดึงบรรยากาศครึกครื้นให้กลับคืนมา แต่มันก็ไม่ทำให้กอล์ฟเลิกร้องไห้ได้เลย ญาติของกอล์ฟก็ช่วยปลอบ ปลอบอย่างไงมันก็ไม่หยุด (อยากจะส่งไปรายการ ขอร้องอย่าหยุดร้องซะจริงๆ)
ผมและโรจน์เริ่มจะเมาหนัก(เพราะเข้มตามพี่เขามาหลายแก้ว) กอล์ฟก็ยังร้องไห้ต่อไป แล้วเหตุการณ์เร้าใจก็เกิดขึ้น ญาติกอล์ฟหยิบปืนพกขึ้นมาวางบนโต๊ะ..!!
"มึงจะหยุดร้องมั้ยวะกอล์ฟ" พี่คนนั้นถาม วินาทีนั้นผมและโรจน์ แค่สบตากันก็รู้ลึกไปถึงตับไตไส้พุง คิดในใจตรงกันว่ากลับกันเถอะ พร้อมพยักหน้าหงึกๆ
ผมขอตัวกลับทันที แต่พี่แกพูดว่า "จะรีบไปไหนไม่เป็นห่วงเพื่อนมึงบ้างเรอะ" ครับ ..ห่วงก็ได้ครับพี่ ผมและโรจน์จึงจำเป็นต้องนั่งอึดอัดกันต่อไป
ยิ่งปลอบ กอล์ฟแม้ง ยิ่งร้องไห้หนัก แล้วญาติของกอล์ฟก็ทำเรื่องที่ผมตกใจสุดขีด พี่แกหยิบปืนมายิงขึ้นฟ้า!! แกไม่ได้ยิงท่าชูแขนตรงขึ้นเหนือหัวแล้วยิงนะครับ พี่แกโชว์ทักษะเอาปืนถือไว้ระดับหน้าอกแล้วก็ยิงเฉียงๆขึ้นฟ้า
กลับแกล้มบนโต๊ะกลายเป็นยำปลอกกระสุนไปซะแล้ว จิตผมกระเจิงไปสตาร์ทมอไซค์ขี่ออกไปไกลแล้วครับจุดนั้น
ผมต้องออกจากที่นี่ไปให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่าไอ้สเตปยิงเฉียงๆของพี่แกอาจจะเฉียงมาเจาะทะลุร่างกายของผมก็เป็นได้ ที่ใต้โต๊ะผมเอาเท้าเขี่ยขาของโรจน์ เพื่อส่งสัญญานว่ากลับกันเถอะ ...และพี่แกก็รัวไปอีกชุดหมดแม็ก
ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเหม็งที่จะชิ่งออกมาจากโต๊ะ เพราะพี่แกก้มหน้าก้มตาใส่ลูกกระสุนอยู่ ผมและโรจน์ บอกกอล์ฟว่า "เจอกันที่ห้องมึงนะ" ยกมือไหว้พี่โหด แล้วลุกออกมาทันที
ผมให้โรจน์เป็นคนขี่ เพราะไอ้เหล้า5-6แก้วเข้มๆเมื่อกี้ มันออกฤทธิ์ซะโลกหมุนติ้วๆ โรจน์ขี่มอไซค์เป็นงูเลื้อย(เพราะมันก็เข้มเหมือนกัน) พากันมาถึงแฟลตตำรวจ เราพากันเดินขึ้นไปชั้น3 ไปนั่งรอหน้าห้อง รอกอล์ฟมาเปิดประตูให้
โลกยังคงหมุนติ้วต่อไป โรจน์เริ่มเอนตัวลงนอนกับพื้นหน้าประตูห้อง ผมนั่งรอสักพัก เห็นโรจน์หลับอยู่ท่ามกลางรองเท้าหน้าห้องหลายคู่ ผมไม่อยากปลุกเพื่อน จึงชิ่งกลับไปนอนที่บ้านผมคนเดียว
ตอนเช้า ยายเดินมาปลุกผม ให้ไปรับโทรศัพท์ของโรจน์ ผมขี่ไปรับโรจน์ที่แฟลต โรจน์ต่อว่าต่อขาน ที่ผมหนีกลับไปนอนที่บ้าน ปล่อยให้มันนอนกอดรองเท้าอยู่คนเดียว แล้วกอล์ฟมันไปนอนที่ไหน? เราเริ่มจะสงสัย
ผมไปส่งโรจน์กลับบ้านเรียบร้อย บ่ายๆผมโทรไปถามกอล์ฟว่า "เมื่อคืนไปนอนที่ไหน? พวกกู(โรจน์) นอนหน้าห้องมึงอ่ะ" กอล์ฟตอบว่า "กูนอนชั้น4 ห้องของพี่ และห้องไม่ได้ล็อค ทำไมมึงไม่เข้าไปนอนข้างในล่ะ" อืม....ขอบใจนะกอล์ฟ
หลังจากนั้น ผมและกอล์ฟก็ไม่ค่อยได้กินเหล้าด้วยกันอีก เป็นเพราะกอล์ฟมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ ล่าสุดที่เจอกัน พ่อของกอล์ฟเปิดร้านอาหารที่ราชบุรี ผมไปนั่งกินกับกอล์ฟเป็นครั้งสุดท้าย
.....
เมื่อกลางปี2557 "โรจน์"โทรมาบอกผมว่า เมื่อเช้า นั่งดู Line เรื่อยเปื่อย(ผมไม่มีเบอร์กอล์ฟ) เห็น Line ของกอล์ฟขึ้นรูปโปรไฟล์เป็นกรอบรูปงานศพของ"กอล์ฟ" โรจน์บอกว่า "มึงโทรไปเบอร์มันดิ๊ กูไม่กล้าโทร" ผมได้เบอร์มาจากโรจน์ ผมยังงงอยู่ว่ามันเล่นตลกอะไรหรือเปล่า
พ่อของกอล์ฟรับสาย บอกว่า กอล์ฟเสียแล้ว เมื่อวานตอนเช้าก่อนจะไปทำงาน กอล์ฟหัวใจวายเฉียบพลัน...
ขณะที่ผมนั่งฟังพระสวดบทพระอภิธรรมในงานศพของกอล์ฟ ภาพเก่าๆระหว่างผมและกอล์ฟมันหวนกลับมาอีกครั้ง ชีวิตคนเรามันก็มีแค่นี้เอง....
เหมือนดั่งกอล์ฟเล่นละครจบไปอีกหนึ่งเรื่องสินะ ผมไม่รู้ว่ากอล์ฟจะได้ไปแสดงละครชีวิตบทใหม่ที่ไหน แต่ผมยังต้องแสดงละครชีวิตนี้อีกต่อไป และในละครชีวิตของผมไม่มีตัวละครชื่อ "กอล์ฟ" อีกต่อไปแล้ว
วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ฉันนั่งตกปลา อยู่ริมตลิ่ง..
ตั้งแต่จำความได้ ยายพาผมไปวัดตอนเด็กๆ ผมไม่สนใจเรื่องอื่นเลย รอแค่เมื่อไหร่จะได้กินขนมตอนที่พระสวดให้พรเสร็จแล้วแค่นั้น แต่ทุกครั้งที่ไปวัด ผมจะมองไปที่รูปภาพ ขุมนรกชั้นต่างๆ ที่ทางวัดนำมาติดไว้ตามเสา และผนัง ยายบอกว่า ถ้าทำบาปจะต้อง "ตกนรก"
ช่วงหลังๆผมไม่ค่อยจะได้ไปวัดอีกเลย ตื่นมาก็จ้องที่จะดูการ์ตูนช่อง9 พอการ์ตูนจบ ก็ออกไปเล่นตามประสาเด็กเรื่อยเปื่อย
ผมจะสนิทกับ "อ็อด" เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน กิจกรรมที่เราชอบทำร่วมกัน คือ "ตกปลา"
สภาพแวดล้อมของรอบๆบ้านผม จะเป็นสวนมะพร้าว มีร่องน้ำ และแน่นอน มันต้องมีปลา
จะตกปลาครั้งหนึ่ง ผมจะต้องมาขโมยไม้ลวก ที่ยายเอามาขัดไว้ทำรั้ว เอาไปทำคันเบ็ด ยายรู้เมื่อไหร่โดนด่ากระจาย
ปลาส่วนใหญ่ที่ได้มาก็เป็นปลาหมอ อ็อดก็จะเอาไปให้ยายของอ็อด ต้มเอาไว้เลี้ยงแมว ก็แค่นั้น
วันเวลาผ่านไป จะให้มานั่งตกปลาตามร่องสวนมันไม่เร้าใจซะแล้ว ผมเริ่มจะไปตกปลาที่แม่น้ำ ผมกับอ็อด ร่วมหุ้นกันซื้อคันเบ็ด+รอกตกปลา ราคาไม่แพงหรอกครับ เพราะซื้อต่อเพื่อนไอ้อ็อดมาอีกที เราสองคนรักเบ็ดคันนี้มาก เพราะเก็บตังค์หลายวันกว่าจะซื้อมาได้
การทำบาปเริ่มขึ้นอีกครั้ง ผมกับอ็อดเดินสายขี่จักยานไปตกปลาที่แม่น้ำทุกครั้งที่มีเวลาว่าง และที่เร้าใจไปกว่านั้น เรานั่งตกปลากันริมท่าน้ำของวัดพญาไม้ ไม่ได้เกรงกลัวอะไรกันเล๊ย...
ช่วงแรกๆการเหวี่ยงให้เหยื่อไปกลางแม่น้ำ เราจะคิดแต่จะเหวี่ยงมันให้ออกไปไกลที่สุด แต่มือใหม่อ่ะนะ เหวี่ยงทีไร มันก็อยู่ใกล้ๆริมตลิ่งนั่นแหล่ะ
วันนั้นเราไปตกปลากันที่ท่าน้ำของวัดตามเดิม แต่ผมขอเป็นคนนั่งดู ให้อ็อดวาดลวดลายการเหวี่ยงเหยื่อไปคนเดียว อ็อดปั้นเหยื่อเตรียมพร้อมจะเหวี่ยง ผมเน้นให้อ็อดเหวี่ยงไปให้ไกลๆ อ็อดหันมาพยักหน้าพร้อมทำฟันเหยินใส่(ตอนเด็กอ็อดฟันเหยินมาก)
อ็อดเหวี่ยงคันเบ็ดสุดแรง... แต่ มันลืมเปิดหน้ารอก!!!
เสียงคันเบ็ดหักดัง "เปรี๊ยะ" และก็ตกลงไปในน้ำดัง "จ๋อม" อ็อดค่อยๆหันหน้าเจื่อนๆของมันมามองหน้าผม โดยที่อ็อดถือคันเบ็ดที่มีแต่ด้ามไว้ในมือ
เหมือนของรักของข้าถูกทำลายไปซะแล้ว ผมโมโหมาก แต่ก็ทำได้แค่พูดออกไปว่า "เออดี ช่างมันเหอะ"
ผมหันหลังให้อ็อด นั่งมองฟ้ามองแม่น้ำไปเรื่อยเพื่อข่มความโมโห 5นาทีผ่านไป ผมเริ่มอารมณ์ดีขึ้น หันหน้าไปจะชวนอ็อดกลับบ้าน อื้อหือ...ภาพข้างหน้าผมคือ ไอ้อ็อดใส่กางเกงในสีเขียว สกรีนรูปโงกุน อ็อดยืนขาจมไปในน้ำระดับหัวเข่า ทำท่าเหมือนกำลังจะงมหาคันเบ็ด
อ็อดกำลังแสดงออกถึงการรับผิดชอบอันใหญ่หลวง แต่ตรงที่คันเบ็ดมันจมน้ำ มันอยู่ตรงลึกๆโน้น มึงจะงมหาตรงน้ำตื้นๆทำไม๊ ผมชี้มือบอกตำแหน่งว่า คันเบ็ดอยู่ตรงโน้น อ็อดหันมาพูดเบาๆว่า "กูว่ายน้ำไม่เป็น" โธ่ อีห่า!!! มึงนี่มันสร้างภาพเก่งจริงๆ...
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ผม.....ตอนที่2
ผมเคยน้อยใจ ที่มีเส้นผมหยักศก แต่อย่างน้อยผมก็มีเพื่อนที่จะร่วมกันหยักศกอยู่ไม่น้อยเลยนะ
แล้วเราจะหยักศกไปด้วยกัน...
แล้วเราจะหยักศกไปด้วยกัน...
ขจร เพื่อนๆเรียก “จร” จำได้ว่าที่ผมรู้จัก ขจร ครั้งแรกตอนเข้าปวช.1 มีคนเรียก ขจร ว่า “จร” แต่ผมฟังว่า”John” (โห้...นี่กรูมีเพื่อนร่วมห้องเป็นลูกครึ่งเหรอวะเนี่ย) หันตามเสียงขันรับไปดูหนังหน้า อืม... ภาพชายหนุ่ม สิวเขอะ ผมหยักศก แสกกลาง ยืนคุยกับไอ้คนเรียกชื่อเมื่อกี้ Oh no. John!!
ตอนเรียนผมสนิทกับขจรไม่มากเท่าไหร่ แต่ตอนปัจจุบันนี้ผมสนิทกับมันมาก เพราะต้องคอยด่ามันว่า อย่าส่งคลิปโป๊มาใน Line กลุ่ม กูรำคาญ( ส่งมาทีนึง 10-20คลิป)
ขจร จะสนิทกับ สุพจน์ เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน วันหนึ่งที่บ้านสุพจน์ชวนไปเล่นน้ำสงกรานต์ เอาถังน้ำขึ้นหลังกระบะ ขับวนๆสาดน้ำในตลาด
แหล่ม.. แบบนี้ก็ชอบอ่ะดิ
...ถึงเวลานัดหมายที่บ้านสุพจน์ ผมแต่งตัวมิดชิดเพื่อป้องกันแดดที่อาจจะทำให้ผิวหมองคล้ำได้หลังจากเล่นน้ำเสร็จ ไปถึงก็เห็น ขจร ในเวอร์ชั่นผมตรง โอ้...มันช่างเท่เหลือหลาย
ขจรไปยืดผมตรงมาครับ
(แอบคิดในใจ ต้องไปหาซื้อมายืดบ้างซะแล้ว) ผมนั่งอยู่กระบะหลังกับขจร สุพจน์และบรรดาเด็กๆอีกหลายคน ทุกคนใส่หมวกกันแดด ยกเว้น ขจร..
แหล่ม.. แบบนี้ก็ชอบอ่ะดิ
...ถึงเวลานัดหมายที่บ้านสุพจน์ ผมแต่งตัวมิดชิดเพื่อป้องกันแดดที่อาจจะทำให้ผิวหมองคล้ำได้หลังจากเล่นน้ำเสร็จ ไปถึงก็เห็น ขจร ในเวอร์ชั่นผมตรง โอ้...มันช่างเท่เหลือหลาย
ขจรไปยืดผมตรงมาครับ
(แอบคิดในใจ ต้องไปหาซื้อมายืดบ้างซะแล้ว) ผมนั่งอยู่กระบะหลังกับขจร สุพจน์และบรรดาเด็กๆอีกหลายคน ทุกคนใส่หมวกกันแดด ยกเว้น ขจร..
รถขับวนไปเรื่อย ขจร จับผมตัวเอง มากกว่าจับขันน้ำซะอีก (ก็ผมมันเท่นี่นะ) ทุกคนสนุกสนาน เปียกปอนกันไปตามๆกัน ภาพผมของ ขจร เวลาโดนน้ำ โอ้..มันช่างดูดี มีน้ำหนัก เหมือนในโฆษณาเลยทีเดียว (แอบอิจฉาเบาๆ)
สาดน้ำกันไปสักพัก พ่อของสุพจน์ เสนอไอเดียว่า ไปชะอำกันไหม เด็กๆหลังรถตะโกนพร้อมกันว่า ไป๊....
อ่ะ ไปก็ไป
อ่ะ ไปก็ไป
รถกระบะวิ่งฝ่าแดด ฝ่าลม เพื่อจะไปให้ถึงจุดหมาย ในหลังกระบะตอนนั้น ทุกคนหาที่กำบังแดดกันสุดฤทธิ์ ไม่นานก็มาถึงหาดชะอำ
สีหน้าของเด็กๆเบิกบาน เริงร่า ยกเว้น ขจร โอ้แม่เจ้า!!! ทรงผมของ ขจร ตอนนี้มันผสมผสานระหว่าง ทรงหัวฟู กับ เดทร็อค ขจร รีบเอามือลูบผมให้กลับมาเรียบตรงอีกครั้ง แต่เปล่าประโยชน์ สุพจน์ยืนดูขำๆ แล้วบอกว่าก็”เอาน้ำราดหัวไปดิ”
เออว่ะ มีเหตุผล
เออว่ะ มีเหตุผล
เหมือนดั่งบัวแล้งน้ำ ได้รับน้ำฝนชุ่มฉ่ำ ผมขจรกลับมาดูดี มีน้ำหนักอีกครั้ง และทริปเที่ยวชะอำวันนั้น ขจรต้องคอยเอาน้ำพรมหัวให้เปียกอยู่ตลอดเวลา โธ่...ทำไมมันยากขนาดนี้
จากเหตุการณ์วันนั้น ทำให้ผมรู้ว่า ไม่ควรยืดผมในช่วงสงกรานต์...
ปล. รูปหัวบทความ คือ รูปของ ไมเคิล แจ็คสัน ตอนที่ยังไม่ได้ฟอกขาว ซึ่งหน้าตาเหมือน ขจร มากๆ
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ผม....ตอนที่1
เขียนบทความไม่ยากเท่าการหารูปมาขึ้นหัวบทความ แล้วไอ้คนที่นั่งยิ้มในรูปท่ามกลางขุนเขามันคืออะไร?? ตอนนี้จะเขียนเกี่ยวกับ"เส้นผม" และผมก็เชื่อว่าทุกๆคนรักผม(เส้นผม) เพราะดูรอยยิ้มของนายแบบในรูป จะเป็นรอยยิ้มที่แอบแฝงไปด้วยความเศร้าหมองเมื่อถูก"โกนผม" รอยยิ้มที่สุดแสนจะเจื่อนๆนี้ มันบ่งบอกได้ถึงอารมณ์ต่างได้มากมาย แต่เอาเถอะ..!! โกนๆให้เสร็จไป เดี๋ยวก็ไปบวชแล้ว
บุคคลในภาพ คือ น้องผมเองครับ เขาเป็นคนรักธรรมชาติ ผมจึงรวบรวมฝีมือทั้งหมดใช้PS6(นั่งทำนานมาก) ตัดต่อภาพให้นายแบบอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โดยที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบเจื่อนๆรวมอยู่ด้วย ผมอยากจะสื่อถึงความรักของทุกๆคนที่มีต่อเส้นผมนั่นเอง
ร่างกายคนเราเริ่มพัฒนาขึ้นเหมือนเส้นกราฟที่ค่อยๆพุ่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ร่างกายหยุดพัฒนา เส้นกราฟก็จะค่อยๆตกลง และตอนนี้ตัวผมอยู่ในช่วงเส้นกราฟทิ้งดิ่ง
ร่างกายของผมตอนนี้อยู่ในช่วงเริ่มจะเสื่อม และที่เสื่อมหนักที่สุดเลย ก็คือ “เส้นผม”
ผมมักจะชอบนั่งดูภาพถ่ายของผมตอนอายุ4-5ขวบ ผมจะมีความสุขหรรษามาก ไม่ใช่เพราะผมเป็นเด็กน่ารักน่าชังอะไรหรอกนะ แต่เพราะตอนนั้นผมมี “ผมตรง”
เด็กชายหน้ากลมผมรองทรงหน้าม้าปิดหน้าผาก ดูกี่ทีก็เท่ระเบิด แต่...เมื่อเวลาผ่านไป สปีชี่ของผมก็เปลี่ยนไป
ผมกลายเป็นเด็กหนุ่มผมหยักศก และมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าเส้นผมของผมมันจะหยักศกเท่ากันทั้งหัว เพราะว่าถ้าผมไว้ผมยาว ผมก็จะมีทรงเหมือน “พี่เสกโลโซ”(ขอเหมือนแค่ทรงผมก็พอนะ) แต่...ปัญหามันอยู่ที่ผมมีผมหยักศกเป็นลอนอยู่เฉพาะด้านหน้า คือ อารมณ์มันสบสันระหว่างจะเสยขึ้น แม้ง..หัวก็เถิกอีก หรือ จะหวีลงก็มาซะเป็นคลื่นเลยทีเดียว บทสรุปของทรงผมที่ทำได้คือ ปัดเฉียงๆไปทางซ้ายมือ
ตอนเด็กๆ พ่อมักจะล้อผมว่า ไอ้ผม”วัวเลีย” ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรหรอก วัวเลียก็เลียไปดิ ที่บ้านก็ไม่ได้เลี้ยงวัวจะกลัวอะไร เติบโตขึ้นมาถึงจะเข้าใจ แต่ก็แอบสงสัยอยู่นะว่า ตอนเราเด็กๆเราเคยโดนวัวมาแอบเลียหัวหรือเปล่าวะ?
ถ้ามีวัวมาแอบเลียผมจริงๆ อยากบอกพี่วัวตัวนั้นว่า พี่ครับ ช่วยกลับมาเลียหัวผมใหม่ได้ไหม ช่วยเลียผมให้ทั่วทั้งหัวเลยนะ จัดให้หนักๆ เลียให้เลี่ยมไปเลย ไม่ต้องเกรงใจ
แต่ข้อดีของ วัวเลีย มันก็มีนะ คือ ตั้งแต่เรียนม.ต้น ผมไม่เคยโดนครูตรวจผมแล้วจะไม่ผ่านเลยซักครั้ง (ก็ตัดสั้น ไถข้างหลังขาว มีผมแปะอยู่ข้างหน้าหน่อยนึง พอแล้ว) และการที่จะมีผมสั้นตลอด มันก็ต้องเข้าไปร้านตัดผมบ่อยๆ
ตอนเด็กๆผมไม่ชอบไปร้านตัดผม ผมไม่ชอบบรรยากาศภายในร้าน อยากไปร้านอื่นก็ไปไม่ได้ เพราะแถวบ้านมีร้านเดียว ร้าน”ตาอึ่ง” รับตัดผมชาย แกชอบกินน้ำชา และก็จะมีชุดน้ำชาวางที่โต๊ะรับแขก มีหนังสือ”อาชญากรรม” เอาไว้ให้อ่านเพื่อฆ่าเวลา(ฆ่าจริงๆ เลือดสาด..) มาถึงตรงนี้ผมไม่เข้าใจ ถ้าแกชอบอ่านแนวนี้ ทำไมแกไม่ไปอ่านแบบเร้าใจๆคนเดียว จะต้องมาวางไว้ให้พวกลูกค้าเร้าใจก่อนขึ้นตัดผมเหรอไง แต่ก็เอาเถอะ ยังดีที่มีหนังสือขายหัวเราะวางแซมๆอยู่บ้าง
ถ้าผมต้องไปตัดผมพร้อมกันกับเพื่อนๆ ไอ้อ็อด(มันมาอีกแล้ว)มันจะชอบเปิดหนังสืออาชญากรรมหน้ากลางยื่นมาให้ผมมอง ซึ่งไอ้หน้ากลางนี้จะเป็นภาพศพตามอิริยาบถต่างๆ ภาพสีสันสดใส ชัดเจน ผมก็จะเบือนหน้าหนี ปิดตาเพราะไม่อยากดู
ขอบคุณอ็อดมากๆ ที่ทำให้ปัจจุบันกูกลัวเลือด...
ตาอึ่ง ใส่แว่นหนาๆ ตัดผมมากี่ปีไม่รู้ แต่ผมตัดกับแกมาตั้งแต่ผมจำความได้ ผมจะมีอาการเกร็งตลอดเวลา ที่แกกันผม(เอามีดโกนขูดๆตรงขอบๆผม) ผมกลัวว่ามันจะพลาดมาโดนหู หรือไม่ก็บาดเป็นแผล
โอ้...เลือดสาด
อาจจะเป็นเพราะผมถูกบิ้วอารมณ์มาจากไอ้หนังสือ อาชญากรรม ก็เป็นได้
เรื่อง ตาอึ่ง ตัดผมเบี้ยว ตัดไม่เกลี้ยง เรื่องพวกนี้ ชิลๆครับ เพราะเป็นทุกครั้ง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะยังเป็นเด็กอยู่ แต่มันก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่แกทำแบตเตอเลี่ยนบาดหูของลูกพี่ลูกน้องผม ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในร้านน่ากลัวหนักไปอีก
....เลือดสาด !!!
ทุกวันนี้ถ้าผมมีโอกาสผ่านร้าน ตาอึ่ง (ปัจจุบันตาอึ่งเสียชีวิตแล้ว) ผมจะนึกขอบคุณ ตาอึ่ง ที่สอนผมให้รู้จัก”อสุภกรรมฐาน” ที่มาในรูปแบบหนังสือ อาชญากรรม ขอบคุณจริงๆครับ
ปล.ภาพหัวบทความ มาจากภาพงานบวชของเก้าครับ (น้องชายชื่อ เก้า)
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)











