วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ปั่น....จักรยาน

 
 
        การเดินทางจากที่หนึ่ง ไปสู่อีกที่หนึ่ง เพียงแค่ขยับร่างกายไปเป็นกริยาท่าทาง วิ่ง เดิน คลาน หรือจะกลิ้งตัว ก็สามารถไปถึงจุดหมายได้ แต่...ถ้าจุดหมายมีระยะทางเพิ่มเข้ามา แค่ใช้ร่างกายเคลื่อนย้ายตัวเองไปหาจุดหมาย คงจะต้องมีเวลาเข้ามาเป็นตัวแปรอีกหนึ่งตัว
        มนุษย์แก้ปัญหาได้ตรงจุด เมื่อต้องเสียเวลาในการเดินทาง มนุษย์จึงคิดค้นยานพาหนะขึ้นมา
        ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ มนุษย์ถูกฝึกให้รู้จักการใช้พาหนะตั้งแต่เด็ก ช่วงวัยเด็กแทบจะทุกคน จะต้องมีของเล่นที่เป็นรถ พอโตขึ้นมาอีก ก็เริ่มจะหัดที่จะใช้พาหนะ ไล่ไปตั้งแต่ รถ3ล้อถีบแบบเด็กๆ จักรยาน(แบบมีล้อพ่วงข้างกันล้ม) จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ เรือ เครื่องบิน  ฯลฯ
       ช่วงนี้ เราเริ่มหันกลับไปให้ความสนใจกับ"จักรยาน"มากขึ้น ยิ่งมีโครงการพิเศษ ปั่นเพื่อแม่ ปั่นเพื่อพ่อ กระแสปั่นจักรยานก็ยิ่งบูมตู้ม..ขึ้นมาอีก
       บ่อยครั้งที่ผมขับขี่รถไปบนท้องถนน แล้วประสบพบเจอก๊วนแก็งค์นักปั่นจักรยานขี่เรียงกันเป็นแถวยาว พลันก็หวนคิดถึงเรื่องราวของตัวเอง เกี่ยวกับจักรยานตอนเด็ก
       ....ภาพค่อยๆเบลอจางไปเป็นภาพขาวดำ
      กิเลสตัณหาเริ่มครอบงำผมตั้งแต่เด็ก ผมอยากได้จักรยานเป็นของตัวเองมากๆ ตอนเย็นที่ลานหน้าบ้านจะมีเด็กๆมาวิ่งเล่นกันเป็นประจำ "หนึ่ง"จะขี่จักรยานมาเล่นด้วย ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวคือ "มันเท่ว่ะ" เมื่อมีความอยากเกิดขึ้น กระบวนการความคิดก็เริ่มทำงาน
      ผมไปออดอ้อน"ยาย" ขอให้ซื้อจักรยาน ยายทำหน้านิ่งๆ สวนกลับมาด้วยคำพูดเบาๆว่า "มึงขี่เป็นแล้วเหรอ?"  คำพูดเพียงไม่กี่คำของยาย มันช่างเจ็บจุกเสียดซะเหลือเกิ๊น...
      เมื่อโดนยายดูถูกซะขนาดนี้ ใครจะยอมได้ ต้องจัดโชว์ให้ยายดูซะหน่อยว่าเราก็ขี่จักรยานได้นะครับ แหม่...
      ก่อนหน้านี้ ผมมักจะขอยืมจักรยานของหนึ่ง มาหัดขี่อยู่บ้าง ก็ถือว่าขี่ได้แล้วล่ะ แต่ยังไม่ค่อยเก่งซักเท่าไหร่  เย็นวันนั้น ผมขอยืมรถจักรยานของหนึ่งมาขี่ เพื่อจะแสดงให้ยายดูว่า ผมขี่จักรยานเป็นแล้วนะ
      โชว์ขี่จักรยานครั้งนั้น อารมณ์คงเหมือนรายการแสดงความสามารถก็อตทาเลนต์ โดยมีคุณยายเป็นคณะกรรมการ จะให้ "ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน"
      ผมเริ่มขี่จากหน้าบ้านไปสุดทางโค้ง และก็ขี่กลับมาจอดหน้าบ้าน สำเร็จ!! เย้...!!  แต่คณะกรรมการยังคงขาดความเชื่อมั่นในตัวนักแสดง จึงขอให้มีการขี่โชว์อีก1รอบ  จัดไปสิครับ เรื่องขี้หมาอ่ะ.. ผมเริ่มขีออกตัวจากหน้าบ้าน แต่ด้วยอินเนอร์นักขี่จักรยานแชมป์โลกมันมาเต็ม ผมปล่อยมือซ้าย ใช้มือขวาจับแฮนด์มือเดียว กะว่ายายเจอสเตปนี้ไป ต้องยอมจ่ายตังค์ซื้อให้แน่ๆ
      ด้วยความที่ยังเด็ก กำลังแขนยังไม่มาก แขนขวาของผมรั้งน้ำหนักไว้ไม่ได้ รถเริ่มเอียงซ้ายไปเรื่อยๆ และไปจบการแสดงอยู่ที่รั้วสังกะสีของเพื่อนบ้าน
      ผมยังจำบรรยากาศนั้นได้ดี ยายนั่งส่ายหน้าและอบอวนไปด้วยเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ยกเว้น"หนึ่ง เจ้าของรถ" สายตาคู่นั้นของยาย เปรียบเหมือนคำพูดของกรรมการก็อตทาเลนต์ "ยังไม่ผ่านค่ะ"

       ....
       ....
       เมื่อไม่มีพาหนะ การจะไปสู่จุดหมาย ก็ต้องใช้ร่างกายเคลื่อนที่ไปเอง
       การเดินทางไปซื้อขนมหน้าปากซอย ด้วยการ"เดินเท้า" สำหรับผมแล้วเป็นเรื่องที่เร้าใจมากถึงมากที่สุด ช่วงกลางซอยจะมีบ้านของยายA(นานสมมติ) แกเลี้ยงหมาไว้1ตัว สีดำ ดุโครต เด็กๆตั้งฉายามันว่า "แบร์กิ้งแบร์" แค่ไอ้แบร์ฯตัวเดียวก็กลัวขี้ขึ้นหัวแล้ว ยายAยังเลี้ยง"ห่าน"ไว้อีก2ตัว และก็อีกเช่นกัน ดุฉิบหาย!!
      การเดินเท้าไปซื้อขนมที่ปากซอยของผม อาจจะเร้าใจพอๆกับการเดินทางของ"โฟรโด"ในหนังเดอะลอร์ดฯ ก่อนจะถึงบ้านของไอ้แบร์กิ้งแบร์ ผมจะต้องมองดูว่าประตูบ้านเปิดอยู่หรือเปล่า และบ้านของยายAอยู่หัวมุมทางโค้ง ประตูบ้านของแกจึงมี2ประตู ถ้าประตู1ปิดก็สบายใจไปนิดนึง ไปลุ้นประตู2ต่อ แต่เวลาเดินผ่านไอ้แบร์ฯจะมาเห่ากรรโชกอยู่ที่หน้าประตู(ผมก็จะแลบลิ้นปลิ้นตาให้มันอยู่บ้าง) ตอนขากลับก็อย่าไว้วางใจ เพราะเคยเจอเคสขากลับ ยายAแกเปิดประตูไว้พอดี ไอ้เราก็เดินกินขนมชิวๆ กว่าจะมองเห็นว่าประตูเปิดอยู่ เสียงเห่าของไอ้แบร์ฯก็ดังแว็บมาแล้ว ...4x100 สิครับ รออะไร
      เรื่องวิ่งหนีหมา วิ่งมาหลายรอบแต่ก็เร็วกว่าหมามาตลอด(แอบดีใจ) แต่วิ่งหนี"ห่าน" เร้าใจกว่าหนีหมาหลายสิบเท่า อาจจะเป็นเพราะเคยพลาด ...ใช่ครับผมเคยพลาดวิ่งหนีห่านไม่ทันโดนงับเข้าที่ขา(แต่ไม่เข้า) มันยังคงเป็นตราบาปมาจนปัจจุบันนี้  โธ่...ชีวิต
      จำได้ว่า วันนั้นยายAปล่อยห่านออกมาเดินเล่นหน้าบ้าน ผมก็เดินผ่าน(ยังไม่รู้ว่ามันโหดขนาดไหน) สบตากันนิดนึง เออ..ก็แค่ห่านแล้วไง อยู่ๆพี่ห่านแกวิ่งกางปีก ส่งเสียง"แว๊กๆๆ"ปรี่เข้ามาหา
      ตอนนั้นตกใจ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมีพิษสงอะไรมาก จึงวิ่งหนีเบาๆ ออกแนวขำๆ แต่พอมันงับเข้าที่ขาเท่านั้นแหล่ะ วิ่งฝุ่นตลบ
      เหมือนว่าไอ้แบร์ฯและอีห่าน2ตัว ถูกคุณยายAป้อนข้อมูลไว้ว่า ถ้าเจอมนุษย์ที่เรียกว่าเด็ก จงกำจัดให้สิ้นซาก...เหอะๆๆ
      เวลาผ่านไป ผมมีจักรยานเป็นของตัวเองแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยได้ขี่ไปไหนไกลซักเท่าไหร่ ผิดกับของพี่ชาย ที่มันขี่จักรยานไปโรงเรียนได้ การที่ต้องนั่งซ้อนท้ายจักรยานของพี่ชายไปโรงเรียน ฟังดูเหมือนจะสบาย ก็แค่นั่งเฉยๆ มีคนขี่ให้ แต่....การเดินทางไปโรงเรียนต้องผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ ถ้าอารมณ์คนขี่ดี เขาก็จะปั่นให้เรานั่งไปตลอดเส้นทาง แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดี คนนั่งต้องลงเดินไปขึ้นกลางสะพาน(มันขี่ไปจอดรอที่กลางสะพาน) ดีจัง..
     บางวันตื่นสาย พี่ชายต้องรีบปั่นทำเวลาให้ทันเข้าเรียน ช่วงถนนลอดใต้สะพาน ทางจะชำรุดมากๆ หลุมมีทุกขนาดมาทั้งครอบครัว พอๆกับหลุมขนมครก ด้วยความเร่งรีบ พี่ชายขี่ฝ่าหลุมขนมครกไปด้วยความเร็วสูง และผลที่ตามมา.....  ผมตกรถกลายเป็นหนุมานคลุกฝุ่นตั้งแต่หลุมแรก
     ...
     ช่วงม.1 แม่ย้ายบ้านไปอยู่ที่ใหม่ ที่นี้เองผมได้ขี่จักรยานของตัวเองอย่างอิสระ มีตังค์ค่าขนมก็อดออมไว้แต่งรถจักรยาน เพื่อนใหม่ที่นี่มักจะชวนผมไปขี่จักรยานขึ้น"เขาแก่นจันทร์" ทุกครั้งที่รู้ว่าจะต้องไปขึ้นเขาแก่นจันทร์ ผมจะต้องเปลี่ยนผ้าเบรคล้อหลังรอไว้เลย เพราะตอนลงเขามันเร้าใจมาก
     ขาขึ้นเขา ทางบางช่วงชันมากๆ เราก็จะจูงรถเอา ทางไหนพอจะขี่ไหวก็ปั่นกันสุดฤทธิ์ ผมชอบบรรยากาศบนยอดเขามาก ข้างบนมี"พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ (พระสี่มุมเมือง)"  ประเทศไทยมีอยู่4จังหวัด
       -ทิศเหนือ  ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดลำปาง
       -ทิศใต้     ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดพัทลุง
       -ทิศตะวันออก  ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดสระบุรี
       -ทิศตะวันตก  ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดราชบุรี
      พวกเราจะไหว้พระปิดทอง นั่งคุยนั่งเล่นกันซักพัก แล้วช่วงเวลาเร้าใจก็มาถึง ทางลงเขาจะยาวประมาณ50-60เมตร ก็จะเป็นทางโค้งตัวยู สลับกันไปแบบนี้จนถึงตีนเขา แต่จะมีอยู่ช่วงหนึ่งเป็นทางลาดตรงยาว ทางช่วงนี้จะมีไว้ให้พวกผมได้ใช้ประลองความเร็วกันอยู่เสมอ พวกเราจะปล่อยให้รถจักรยานใหลลงมาพร้อมๆกัน ถือว่าเป็นช่วงวัดใจกันเลยก็ว่าได้ ใครเบรคก่อนจะเป็นผู้แพ้ แต่ผู้ชนะก็เสี่ยงจะเบรคไม่อยู่ด้วยเช่นกัน
     มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราแข่งวัดใจกันเช่นเดิม แต่ด้วยความมั่นใจในผ้าเบรคที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ ผมปล่อยรถให้ใหลไปไกลมากที่สุด เมื่อเห็นว่าเพื่อนๆเบรคกันทุกคนแล้ว ผมยังปล่อยรถให้ใหลไปอีกนิดนึง และผมก็บีบเบรคอย่างสุดแรงเกิด แต่ก็ยังต้านความเร็วที่มีอยู่ไม่ได้ จุดนั้นต้องใช้เบรคสำรองช่วยโดยด่วน ผมใช้เท้ารากับพื้นช่วยอีกแรง แต่ก็ยังเอาไม่อยู่ วินาทีนั้นทางออกสุดท้ายต้องสละยานแม่แล้วล่ะ ผมกระโจนตัวออกจากรถจักรยานคู่ชีพทันที
      รถจักรยานพุ่งชนขอบถนนกันตกเขา หน้ารถบูดเบี้ยว ถ้าผมไม่สละยานแม่ หน้าคนขี่ก็คงบูดเบี้ยวด้วยเช่นกัน ผมได้บาดแผลเล็กน้อย แต่ที่เสียใจมากที่สุดก็คือ...
      ....
      ....
      รองเท้าSchollพื้นสึกไปเยอะเลย
      ....โอ้ หม้าย....ย.ย จริ๊ง..ง.ง
   
   
   
     
   
   
   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น