วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ลอกเลียนแบบ
ตั้งแต่แรกเกิดมา เราไม่รู้จักอะไรเลยซักอย่าง แม้แต่อาการหายใจก็ทำไม่เป็น เพราะตอนอยู่ในท้องแม่ เรารับสารอาหารทั้งหายใจผ่าน"รกแม่" ความรู้สึกแรกเลยตอนที่เด็กทารกคลอดออกมา การที่ต้องสูดอากาศเข้าปอดครั้งแรก ตามสัญชาตญานการเอาชีวิตรอด ลมหายใจแรกที่ผ่านตั้งแต่จมูกลงไปถึงในปอด คงเปรียบเสมือนการเริ่มต้นการแสดงละครชีวิตบทใหม่....อีกครั้ง
เพราะ"ไม่รู้" จึงต้อง"เรียนรู้" กระบวนการเรียนรู้เริ่มเกิดขึ้นอย่างช้าๆ อะไรคือความหิว อะไรคือหนาว เด็กเริ่มเรียนรู้และจดจำ การซึมซับพฤติกรรมจากบุคคลรอบๆข้างก็เกิดขึ้น
เด็กจะมีพฤติกรรมลอกเลียนแบบทั้งอุปนิสัย คำพูด กิริยาท่าทาง จากบุคคลรอบๆตัว จากสภาพแวดล้อม และไอ้ตัวพฤติกรรมลอกเลียนแบบนี้แหล่ะ ที่มันสามารถจะเปลี่ยนกิริยาอาการได้ในระยะเวลาสั้นๆ และรวมไปถึงเปลี่ยนนิสัยใจคอได้ในระยะยาว
ผมเคยสงสัยว่าทำไม เมื่อเราเห็นคนมีอาการ"หาว" เราจะต้อง"หาว"ตามไปด้วย เก็บความสงสัยมานาน จนเมื่อมีพี่"กู(เกิ้ล)" ผมก็ได้คำตอบ ว่าที่เราหาวตามๆกันไปนั้น มันเกิดจากพฤติกรรมลอกเลียนแบบนั่นเอง
ช่วงเรียนปวส. ผมเคยทดสอบพฤติกรรมลอกเลียนแบบจากคนใกล้ชิด กับเพื่อนๆในห้องเรียน
ช่วงคาบเรียนวิชาเขียนแบบ อาจารย์จะทิ้งเวลาให้นักเรียนเขียนงาน2ชม. ช่วงเวลาที่ตั้งใจเขียนแบบอยู่ตอนนี้ ผมจะเริ่มการทดสอบ....
ผมเริ่มร้องเพลง นักโทษประหาร(เพลงของพี่แมว จิรศักดิ์ ดังมากช่วงนั้น) ท่อนฮุก" มันจบแล้ว จบแล้ว อย่าเลย อย่าเสียเวลากับฉันดีกว่า" ผมร้องเบาๆ วนไปวนมา ในใจคิดว่า "ไอ้เก่ง" เพื่อนที่นั่งโต๊ะติดกัน มึงต้องร้องตามกูแน่ๆ
.....
ผมหยุดร้องเพลง นั่งเขียนแบบไปเงียบๆ ซักช่วงแค่อึดใจเดียว
....." มันจบแล้ว จบแล้ว อย่าเล๊ย อย่าเสียเวลากับช้านดีกว่า..." เก่งร้องเพลงตามผมเบาๆในลำคอ
สำเร็จ....!!
แบบนี้ต้องไปลองกับคนอื่นๆอีกเพื่อความแน่ใจ
ผมลุกไปยืนดู"ไอ้เติร์ก"เขียนแบบอยู่ข้างๆมัน ผมร้องเพลงท่อนเดิมระหว่างยืนดูเติร์กเขียนแบบไปด้วย ร้องไป2รอบ และก็ถอยมาแอบฟังห่างๆ ดูซิว่าเติร์กจะร้องตามมั้ย??
.....
.....
นานไปว่ะ หรือว่าจะใช้กับเติร์กไม่ได้ผล
.....
.....
... ."ทำเสร็จแล้ว เสร็จแล้ว อย่าเลย อย่าเสียเวลา กินข้าวดีกว่า" เติร์กเปลี่ยนเนื้อร้องให้เสร็จสรรพ
Yes....!!!
ต่อไป ผมคิดทดลองกับเด็กเนิร์ดๆ และต้องขุดเพลงเก่าๆมาเป็นเพลงทดสอบ
ผมเดินไปหา"เกรียงไกร" เพื่อนที่เนิร์ดที่สุดขณะนั้น ผมทำฟอร์มไปยืนดูเขาเขียนแบบ และก็ร้องเพลง" เทียน ไม่ มี ไฟดับ เสือก เทียน ไม่ มี จะทำไง ไฟดับ เสือก เทียน ไม่ มี ไฟดับ เสือก เทียน ไม่ มี" อ่ะจัดเพลงนี้ไปให้ ดูซิว่าจะออกมาแบบไหน
ถอยมาแอบฟังห่างๆ
....
" เทียน หม้าย หมี่ ฮือ ฮื่ม ฮือ ฮื่ม ฮื้อ ฮือ" เกรียนไกร ฮืมเพลงเบาๆ
เนิร์ดก็เนิร์ดเถอะ เสร็จไปอีกราย
ผมถือว่าการทดลองของผมสำเร็จลุล่วง เป็นที่น่าภูมิใจอย่างมาก
การใส่จังหว่ะ ทำนองเข้าไปในถ้อยคำพูดปรกติ สามารถเปลี่ยนให้ผู้ฟังจดจำประโยคนั้นได้ดีมากขึ้น บางคนฟังเพลงแค่รอบเดียว ร้องตามได้แล้ว แต่ถ้าให้มาลองฟังเป็นคำอ่านแบบประโยคธรรมดา ก็คงต้องใช้เวลานานกว่าจะจดจำได้ทั้งหมด หลักการนี้ถูกนำไปใช้กับการสวดมนต์บทต่างๆด้วยเช่นกัน
อีกหนึ่งพฤติกรรมที่ผมแอบสงสัยมานาน ทำไมต้อง"ไทยมุง" พม่ามุงได้ไหม?? และฮังการีจะมาแอบมุงบ้างได้หรือเปล่า?? อยากรู้จริงๆ
ทุกครั้งที่เริ่มมีกลุ่มคนยืมล้อมวงกันเป็นกลุ่ม ทำไมต้องเกิดอาการอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาโดยพลัน หรือว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์ จะสั่งให้สมองมีอาการ"เสือก"เป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมอยากรู้ อยากเห็น
บ่ายวันหนึ่งระหว่างรอเข้าเรียน ผมเห็นขี้หมากองหนึ่ง ผมนั่งมองขี้หมากองนี้อยู่นานประดุจมันคืองาน"ศิลปะ"ชิ้นเอก ผลงานชิ้นนี้แยกออกเป็น4ส่วน ส่วนฐานเป็นวัตถุทรงกระบอกโค้งขดเป็นวงกลมงดงาม ส่วนที่2เป็นวัตถุทรงกระบอกวางพาดเป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง ส่วนที่3เป็นวัตถุทรงกระบอกอีกเช่นกันแต่คราวนี้วางพาดทับส่วนที่2เป็นรูปกากบาทอยู่บนฐานวงกลม
เฮ้ย....หรือว่ามันจะบอกใบ้ว่าจุดนี้มีขุมทรัพย์
ไฮไลท์อยู่ที่ส่วนสุดท้าย พี่แกคงสับสนว่าจะพอแล้วหรือจะเบ่งขี้ต่อไปอีก ผลงานจึงออกมาเป็นก้อนแหลมๆอยู่บนกากบาท อารมณ์เหมือนมีวิปครีมมาแปะอยู่ด้านบน นี่มันต้องใช้พรสวรรค์ล้วนๆ ยากที่จะลอกเลียนจริงๆ
ผมนั่งอมยิ้มจ้องมองดูอยู่นาน จนอดใจไม่ไหวต้องลุกขึ้นไปยืมมองใกล้ๆ สันนิษฐานเบื้องต้น ผลงานชิ้นนี้คงถูกแดดเผามานานพอสมควร ดูจากสีภายนอกที่ออกไปทางดำคล้ำแบบนี้ล่ะก็....กรอบนอกนุ่มในแน่ๆ ฟันธง...!!!
ผมยืนมองอยู่ไม่นาน เพื่อนๆก็เริ่มมามุงด้วย
"กูว่าไม่ใช่ขี้หมาว่ะ ต้องเป็นไอ้พวกเด็กศิลป์ช็อปข้างๆ มาแอบขี้ไว้แน่ๆ" เพื่อนท่านหนึ่งวิเคราะห์ได้มีเหตุผล
"ผลงานชิ้นยอดแบบนี้ เอาไปสตาฟเก็บไว้เหอะ" เพื่อนอีกท่านออกความเห็น
เอ่อ...คือมึงเอาไปเก็บไว้ที่หัวเตียงห้องมึงเถอะ
เพื่อนๆต่างวิจารณ์กันไปต่างๆนานา เฮฮากันไป
ไม่นานก็มีไทยมุงเยอะขึ้น ขณะที่สายตาเพื่อนๆจับจ้องผลงานศิลปะอยู่นั้น ....
......
......
"เฮ้ย พวกมึงยืนทำอะไรกันวะ" เสียงเติร์กดังมาจากด้านหลังของผม เติร์กเดินแทรกเข้ามากลางวง โดยที่เติร์กไม่รู้ตัวเลยว่า เติร์กได้ทำลายผลงานศิลปะอันเลอค่าไปซะแล้ว
"ไอ้เติร์กเหยียบขี้.!!!!!!!!!" เพื่อนๆเปล่งเสียงประสานพร้อมกัน
จุดนี้เพื่อนๆเปรียบเหมือนลูกดาร์ก้อนบอล ที่ถูกขอพรเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระจายออกไปคนละทิศคนละทาง ทิ้งให้เติร์กยืนนิ่ง งงแดกอยู่คนเดียว
เติร์กออกสเตปท่าเต้น"มูนวอล์ก" ของ ไมเคิล แจ็คสัน ลากขี้เป็นทางยาวไปห้องน้ำ
.....
เติร์กเป็นคน"ขี้"สงสัย จริงๆ
ปล. ขอไว้อาลัยให้ เติร์ก ไว้ ณ ที่นี้
รักเพื่อนเสมอนะ
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
เชื่อ..
ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ที่เราปฎิบัติสืบต่อกันมา ทำให้เราเกิดความเชื่อ เชื่อว่าสิ่งที่ทำต่อๆกันมาเป็นสิ่งที่ดี เขาว่าทำแล้วดี เราก็ทำตาม(แล้ว เขา คนนั้นคือใคร)
ในช่วงเวลา1ปี จะมีวันที่จัดงานตามประเพณีต่างๆ ไม่ว่าจะประเพณีจากพุทธศาสนา ประเพณีจากต่างประเทศ เราก็ทำตามไปด้วย ผมมักจะนั่งคิดว่า ประเพณีนี้ทำไปจะได้อะไร จุดประสงค์หลักคืออะไร ผมมักจะแอบสงสัยอยู่คนเดียวเบาๆ อย่าเชื่อ..จนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง
หลายปีก่อน ชีวิตผมถึงช่วงขาลง ทำอะไรก็ดูจะเลวร้ายไปซะหมด พอเกิดทุกข์ ก็เริ่มจะหาที่พึ่งพิง เพื่อนผมแนะนำให้ไปดูดวงต่อโชคชะตา
เรื่องโชคชะตา ผมเชื่อว่ามันลิขิตชิวิตได้ 50% อีก 50% เราเลือกที่จะทำตัวของเราเอง หลังจากไปดูดวงก็ได้แค่ความสุขใจเมื่อหมอดูบอกว่าดี ถ้าหมอดูบอกว่าไม่ดีเราก็กลับมาทุกข์ใจหนักกว่าเดิมไปอีก และถ้าเจอหมอดูหลอกให้แก้ดวง หนักไปทางหลอกแดก ก็เสียเงินเสียทองเละเทะ
แต่มีพิธีกรรมอยู่ชนิดหนึ่ง ซึ่งผมจะได้พบเจอตามสื่อโฆษณา ทั้งรถโฆษณา ใบปลิว ได้อ่านแล้วก็ได้รู้ว่า ถ้าได้เข้าร่วมพิธีจะขจัดสิ่งชั่วร้าย อีกทั้งยังปกป้องคุ้มครองให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญ
"พิธีสวดภาณยักษ์" ฟังแค่ชื่อก็น่ากลัวแล้ว ผมตัดสินใจจะไปร่วมพิธีนี้ ที่วัดแห่งหนึ่งห่างจากตัวเมืองไปหลายกิโลเมตร ผมชวน เจ๊ต๋อม และ อาร์ม ไปร่วมพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วย
จากข้อมูลใบปลิวโฆษณา พิธีจะเริ่มตอน1ทุ่ม ผมออกเดินทางไปตั้งแต่5โมงเย็น ไปถึงสถานที่จัดงาน พวกผมตรงเข้าไปที่ศาลาจัดพิธีทันที ตอนนั้นด้วยเสียงของโฆษก ที่คอยพูดบิ้วอารมณ์ให้รู้สึกเข้มขลัง บวกด้วยสภาพแวดล้อมตอนนั้น ทำให้ผมแอบกลัวอยู่เล็กๆ
เดินเข้าถึงศาลา ก็เจอซุ้มบูชาพระราหู ต้องไปเปลี่ยน(ซื้อ)ของเซ่นไหว้ชุดละ100บาท อ่ะ..จัดไป เพื่อความเป็นศิริมงคลก่อนเข้าพิธี ต่อมาก็ต้องบูชาขันครู และอื่นๆอีกมากมาย บรรยากาศภายในศาลา มีสายสิญจน์ขึงเป็นตารางและปล่อยห้อยลงมาเป็นวงๆ เพื่อให้ครอบที่ศรีษะผู้ร่วมพิธี ผมเลือกที่จะนั่งแถวกลางๆ แต่ระหว่างนั่งรอพิธีเริ่ม โฆษกก็จะชวนให้ไปทำบุญกับซุ้มต่างๆที่ตั้งอยู่รอบศาลา
ผมได้ดูคลิปการสวดภาณยักษ์มาก่อน เมื่อถึงช่วงพระสวดทำพิธี ใครที่มีของ ก็อาจจะมีอาการ"ของขึ้น" อากัปกิริยาก็แล้วแต่ว่าท่านใดมีของชนิดใด กระโดดโลดเต้นหรือนั่งสั่นงันงก ก็แล้วแต่สเตปใคร สเตปมัน
ผมสงสัยว่า พวกที่ของขึ้นในงานแบบนี้ มันเป็นของจริงหรือเปล่า?? ทำไมต้องขึ้น?? หรือว่าโดนจ้างมาทำให้พิธีดูขลัง(ความคิดส่วนตัวนะจ๊ะ)
แต่ก็เอาเถอะ เดี่ยวพิธีก็จะเริ่มแล้ว เดี๋ยวรู้แน่...
ตั้งแต่บรรทัดต่อไปนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้น กะด้วยสายตาแล้วน่าจะประมาณ50-60คน พระสงฆ์นั่งประจำตำแหน่งเรียบร้อย ทุกคนนำสายสิญจน์มาคล้องไว้ที่หัวตัวเอง ผมแอบตื่นเต้นเล็กๆ เผื่อว่าผมอาจจะมีของหรือพลังลึกลับที่หลับใหลอยู่ในตัว รอเวลาที่จะระเบิดพลังสูงสุดขึ้นมาในคืนนี้ก็เป็นได้...
....
....
เอาสิ เริ่มเล๊ย
......เสียงอีตาโฆษกประกาศให้ผู้ร่วมพิธีช่วยกันเช่า(ซื้อ)นางกวัก มีอยู่5องค์ ในราคา499บาท
เฮ้ย !! นี่จ้องจะขายของอย่างเดียวเลยเรอะ??
ผู้ร่วมพิธีนั่งเงียบ ไม่มีใครสนใจที่จะเช่านางกวักเวอร์ชั่นอ้วนจ้ำม่ำ โฆษกออกอาการหงุดหงิด "ถ้าเงียบๆแบบนี้เราขอคิดค่าบูชาแค่399บาท" โห้...ลดราคากันเห็นๆ
แต่ผู้ร่วมพิธีก็ยังนั่งเงียบ
"ผมขอเปิดราคาสุดท้ายที่299บาท" เสียงโฆษกพูด แหม่... ลดกระฉูดรูดราดขนาดนี้กันเลยทีเดียว แต่ผู้เข้าร่วมพิธีก็ยังคงนั่งเฉย ผมเริ่มจะสงสัยเพิ่มเข้าไปอีก นี่มันมีธุระกิจแฝงเข้ามาร่วมด้วยสินะ ดูท่าทางแล้ว ถ้าไม่มีใครเช่านางกวักซักองค์ คงไม่ได้เริ่มพิธีแน่
ผมนั่งรอจนพลังลึกลับในตัวผมหดหายไปแล้วล่ะ ความน่าเบื่อเข้ามาแทนที่ความขลัง สุดท้ายไม่มีใครซื้อ นั่งรอไป15นาที แล้วพระก็เริ่มสวด...
ผมนั่งฟังพระสวดไปเรื่อย ผมใช้สายตาจ้องจะจับผิดคนรอบๆตัวผม ดูซิว่าใครจะของขึ้นบ้าง พระสวดจบ อ้าว...ไม่มีใครขึ้นเลยอ่ะ แอบเสียใจนิดๆ
ทำไมพิธีจบเร็วจัง ผมบ่นพึมพำ เสียงหลวงพ่อพูดออกไมโครโฟนว่า "พิธีสวดภาณยักษ์ จะเริ่มขึ้นต่อไปนี้" (อ๋อ..ขอโทษครับ ผมไม่รู้จริงๆ) หลวงพ่อพูดเตือนเรื่องครูบาอาจารย์สำหรับผู้สักยันต์ อาจจะของขึ้นได้ ให้ตั้งสติให้มั่น คิดถึงแต่คุณงามความดี แล้วจะผ่านพิธีนี้ไปได้ด้วยดี
ผมเหมือนโดนกล่อมให้พิธีนี้ดูน่ากลัวขึ้น และผมก็คิดว่าหลายๆคนกลัว แล้วพิธีก็เริ่มขึ้น เสียงประทัดดัง เสียงกลองดัง เสียงพระก็เริ่มสวด..
เสียงสวดดังโหยหวนมากครับ เหมือนว่าฝ่ายมิกซ์เสียงจะปรับให้เสียงไมโครโฟนดังขึ้นกว่าช่วงแรก หูจะแตกครับตอนนี้ ไหนจะเสียงประทัด เสียงกลอง ใครขี้กลัวก็นั่งหลับตาปี๋กันเลยล่ะ
ผมนั่งลืมตาคอยมองว่าใครจะของขึ้นคนแรก (ออกแนวจ้องจับผิด) เสียงบทสวดยังคงดังโหยหวนต่อไป
อ๊ะ...หญิงสาวที่นั่งห่างจากผมไป3ช่วงตัว เริ่มตัวสั่น ร้องไห้ แล้วแกก็ลุกขึ้นยืน!! จุดนี้ผมยังเฉยๆนะ คิดว่า โดนจ้างมาแน่ๆ เพราะสเตปการสั่นและแอคติ้งการร้องไห้ผมยังไม่ให้ผ่าน
พระรูปหนึ่งรีบเดินมาพร้อมลูกศิษย์อุ้มขันน้ำมนต์มาด้วย หลวงพ่อใช้กำคา(หญ้าแห้งมัดรวมเป็นกำ)จุ่มน้ำมนต์และก็ประพรมไปที่หัวของหญิงคนนั้น 1ครั้ง หญิงก็ยังคงร้องไห้ต่อไป ตอนนี้เพื่อนที่มากับหญิงคนนั้นต้องจับตัวกันจ้าล่ะหวั่น หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ไปอีกครั้ง "ฮือๆๆ " เสียงหญิงร้องไห้ หลวงพ่อเพิ่มความแรงในการพรมน้ำมนต์ไปที่หัวของหญิงสาว เรียกว่าฟาดหัวน่าจะเหมาะสมกว่า ตอนนี้ไม่มีน้ำมนต์แล้วครับ หลวงพ่อฟาดหัวหญิงสาวรัวๆกันเลย
ได้ผล..!! หญิงสาวนั่งลง อาการสงบนิ่ง หลวงพ่อฟาดหัวไปอีก2ทีเพื่อความชัวร์ ทุกอย่างเข้าสู่ความปรกติ เสียงสวดยังโหยหวนต่อไป
ผมยังคงกวาดสายตามองหาผู้ที่จะของขึ้นรายต่อไป และไม่นานก็มาอีก1คน คราวนี้เป็นชายวัยกลางคน ลุกเต้นกระโดดไปๆมาๆ หลวงพ่อท่านเดิมรีบปรี่เข้าหาเป้าหมายทันที แต่คราวนี้ กำคาและขันน้ำมนต์ไม่ต้อง ท่านใช้มือตบไปที่หลังของชายคนนั้น ปากก็ท่องคาถาพร้อมกันไปด้วย ตบไป3ที จอดเลยครับ นั่งนิ่ง..
ตอนนั้นผมคิดว่า คนที่ของขึ้นคงถูกจ้างมาแน่นอน ผมนั่งฟังพระสวดไปเรื่อย แต่แล้วเรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น
น้องชายของผมที่นั่งติดกับผมด้านขวามือ เริ่มนั่งตัวสั่น ผมหันไปมองอาร์มที่นั่งพนมมือก้มหน้าหลับตาตัวสั่น เหมือนแผ่นดินตรงตูดที่อาร์มนั่งอยู่จะมีอาการแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริกเตอร์ อาการสั่นเริ่มรุนแรงขึ้น จุดนั้นผมเป็นห่วงน้องอยากจะเรียกให้หลวงพ่อมาช่วยน้องชายโดยด่วน หันหลังจะไปเรียกพลวงพ่อ โอ้....ไม่ต้องเรียกแล้วครับ หลวงพ่อมายืนรอข้างหลังเราแล้ว (เร็วจัด)
หลวงพ่อท่องคาถางึมงำๆ ลูกศิษย์เข้ามายึดอาร์มไว้ให้อยู่นิ่ง หลวงพ่อตบหลังไป2ผัวะ อาร์มยังคงออกสเตปบีบอย นอนดิ้นวนไปวนมาไม่หยุด หลวงพ่อพูดว่า"ไม่หยุดเหรอ เปิดเสื้อมันออก" ลูกศิษย์รีบเปิดเสื้ออาร์มขึ้นทันที ผมเห็นรอยสักหนุมานของอาร์ม มันนูนแดงขึ้นมาอย่างชัดเจน หลวงพ่อตบลงไปที่รอยสักอย่างแรง จากรอยสักที่นูนแดงก็กลับเป็นสีดำตามปรกติ เหลื่อเชื่อ..!!
อาร์มนั่งก้มหน้านิ่ง ผมสะกิดอาร์มเบาๆ อาร์มลืมตาขึ้นเหมือนเพิ่งตื่นนอน ผมถามว่าเมื่อกี้เป็นอะไร อาร์มตอบว่า "ไม่รู้เรื่องเลย" เฮ้ย...นี่มันง่ายไปมั้ย
อาร์มยังคงนั่งฟังพระสวดต่อไป ผมยังแอบหวั่นๆว่าอาร์มจะมีอาการอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหรือเปล่า
เสียงบทสวดสิ้นสุดลง หลวงพ่อเดินมาประพรมน้ำมนต์ให้ผู้เข้าร่วมพิธีทั่วทั้งศาลา เสียงโฆษกเจ้าเดิมเชิญชวนให้เจิมหน้าเสริมศิริมงคลที่บูทที่1 และมีอีกหลายๆบูทให้เราได้เลือกสรรเสริมโชคชะตาบารมี
อาร์มเลือกเข้าบูทครอบเศียรพ่อแก่ ผมก็ไปยืนต่อแถวด้านหลังของอาร์ม หลวงพ่อหยิบเศียรมาครอบหัวทีละคน ผู้ที่ถูกครอบนั่งคุกเข่าพนมมือ หลวงพ่อท่องคาถางุบงิบๆ ไม่นานก็เสร็จพิธี
ถึงคิวอาร์มแล้ว อาร์มนั่งคุกเข่าพนมมือ หลวงพ่อยกเศียรพ่อแก่มาครอบ .....อาร์มสั่นเป็นเจ้าเข้าอีกแล้ว!!! นี่ไง..อาฟเตอร์ช็อก
หลวงพ่อรีบยกเศียรพ่อแก่ออกทันที อาร์มนั่งหลับตาสงบนิ่ง เฮ้ย..นี่มันฉากเดิมตอนเมื่อกี้เลยนี่หว่า อาร์มค่อยๆลืมตาขึ้น ผมถามคำถามเดิม"เมื่อกี้เป็นอะไร" และอาร์มก็ตอบเหมือนเดิม"ไม่รู้เรื่องเลย"
ผมไม่ได้ครอบเศียรพ่อแก่ต่อจากอาร์ม ผมยังมีคำถามมากมายที่ต้องถามน้องชายผม ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่คำตอบที่ได้ก็คือ มันไม่รู้เรื่องเลย เหมือนวูบหลับไป
ผมขับรถกลับบ้านด้วยอาการสงสัย ทำไมของต้องขึ้น?? รอยสักหนุมมานของอาร์มที่เปลี่ยนสีจากแดงเป็นดำได้อย่างไร?? หรือว่าการสักยันต์ตัวเราจะเป็นสื่อกลางให้องค์ทั้งหลายมาควบคุมกายหยาบเราได้??หรือว่าเป็นเพราะจิตอ่อน?? โอ้ย...เยอะ
มีหลายสิ่งที่คนเราไม่สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยสมอง ถึงจะค้นคว้าหาคำตอบเพียงใดก็คงไม่ได้คำตอบ ยิ่งคิดก็ยิ่งสบสน นี่สินะที่เรียกกันว่า "อจินไตย"
วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
เก้าอี้
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราหนีไม่พ้นเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่กว่าจะไปถึงจุดสุดท้ายที่ความตาย เราก็ต้องผ่านเรื่องราวของ 3 ข้อแรกซะก่อน ผมคิดว่า "เกิด"และ"แก่" ไม่น่ากลัวเท่าไหร่นะเด็กๆอ่ะ แต่พี่"เจ็บ"นี่สิของจริง..!!
เจ็บ ในที่นี้ก็หมายถึง การเจ็บไข้ได้ป่วย การเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ร่างกายบาดเจ็บ คงไม่มีใครอยากมีโรคมารุมเร้าให้ร่างกายเปื่อยยุ่ยเป็นทิชชูเปียกหรอก และ ณ ตอนนี้ ผมเป็นโรคปวดหลัง
ผมเคยนั่งคิดว่า ผมปวดหลังเพราะอะไร และผมก็พอจะฟันธงได้ว่าเป็นเพราะ ท่านั่ง ของผมนั่นเอง
ผมนั่งเก้าอี้ได้ไม่นาน อาการปวดหลังก็มักจะมาไล่ให้ผมต้องลุกขึ้นเสมอ หรือผมจะเคยทำกรรมไว้กับเก้าอี้...
เก้าอี้พลาสติก จัดว่าเป็นที่นั่ง ชนิดไม่น่าไว้วางใจชนิดหนึ่ง ซึ่งเราๆมักจะมองข้ามความน่ากลัวของมันไป
สมัยม.ต้น ผมและโรจน์ ไปนั่งกินข้าวกันที่ร้านในตลาด ระหว่างรอแม่ค้าผัดข้าวอยู่ เราสองคนก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย โรจน์ชี้มือให้ผมหันหลังไปดูสาวๆที่เพิ่งจะเดินผ่านไป ผมหันไปตามนิ้วชี้ของโรจน์ "เออว่ะ ก็น่ารักดีนะ" ผมหันหลังกลับมาที่โต๊ะ อ้าว..!! โรจน์หายไป เฮ้ย..นี่มึงไปเรียนเล่นกลหายตัวมาเรอะ เช็ดโด้...
"โอยยยย" เสียงโรจน์ครวญครางอยู่ที่พื้น "อ้าว มึงลงไปนอนทำไมล่ะ ง่วงเรอะ??" อาการตกใจที่เพื่อนหายตัวไป เปลี่ยนเป็นอาการเฮฮา
เก้าอี้พลาสติกตัวที่โรจน์นั่งอาจจะผ่านการผลิต ที่ผิดวิธีไปหน่อย คือ เก้าอี้ไม่ได้กรอบหักนะครับ แต่เก้าอี้มันอ่อน แล้วก็งอพับหงายหลังไปเลย ถ้าเก้าอี้หัก มันจะมีเสียงมาเตือนสติเราก่อนสักเสี้ยววินาที ให้เราได้ตั้งตัวทัน แต่นี่อยู่ดีๆพี่แกงอพับหงายหลังไปง่ายๆเงียบๆแบบนี้ ตกหลุมอากาศชัดๆ
มีอีกครั้งที่ผมมีเรื่องตื่นเต้นกับ"เก้าอี้พลากติก"พวกนี้ คืนนั้นผมไปงานศพที่วัดใกล้บ้าน ในศาลามีเก้าอี้พลาสติกจัดวางไว้เรียบร้อย แขกเหรื่อหาที่นั่งกันตามอัธยาศัย ผมเลือกนั่งที่ริมๆ
พระเริ่มสวด...
...
...
....เสียงดัง กร๊อบบ...บ.บ!! ทุกคนในศาลาหันไปตามเสียง ภาพลุงคนหนึ่งนอนอยู่ที่พื้นท่ามกลางเศษเก้าอี้พลาสติก เก้าอี้แตก..!!!
ไม่รู้ว่าใครเริ่มหัวเราะก่อนคนแรก แต่ผมก็หัวเราะตามไปด้วยเบาๆ(คนเจ็บนะเว้ย..)
ผมว่าลุงไม่กลัวเจ็บหรอก กลัวเสียฟอร์มมากกว่า ทางเจ้าภาพรีบนำเก้าอี้ตัวใหม่มาให้ลุงนั่งแทน บรรยากาศภายในศาลากลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
พระเริ่มสวด....
...
...
กร๊อบบบบ...บ.บ !! เหมือนรีเพลย์ฉากอีตาลุงคนเมื่อกี้หงายหลังอีกรอบ แต่คราวนี้เป็นผู้หญิงวัยกลางคน เสียงหัวเราะเข้ามาแทนที่เสียงพระสวดอีกครั้ง (คนล้มมันเจ็บนะเว้ย) นี่เราอยู่ในสังคมที่โหดร้ายอะไรเช่นนี้
ผมกลั้นหัวเราะไว้ กร๊อบบบบ..บบ.บ ผู้หญิงร่างอวบเกือบจะถึงอ้วน หงายหลังไปอีกคน เฮ้ย...!! นี่เรามานั่งเล่นเก้าอี้ดนตรีกันเรอะ เสียงหัวเราะหายไป กลายเป็นเสียงบ่นงึมงำๆ ใจความเสียงคล้ายๆกันทุกคน "เก้าอี้กูมันจะหักมั้ยวะ..."
ไม่ทราบว่าท่านผู้มีเกียรติท่านใด จะได้รางวัลอัมพฤกษ์ตลอดชีพกลับบ้านไปแบบฟรีๆ แต่ผมไม่อยากได้
ตอนนี้หลวงพ่อพักเบรคให้ญาติโยมได้สำรวจเก้าอี้กันกันก่อน เสียงเจ้าภาพพูดออกไมโครโฟน"ถ้าท่านใดคิดว่าเก้าอี้ไม่แข็งแรง ให้มารับเก้าอี้ไปซ้อนอีก1ตัวเพื่อเพิ่มความแข็งแรงนะคะ" เอ่อ แก้ปัญหาได้ตรงจุดจริงๆ
จุดนั้น ผมยืนขึ้นแล้วลองเอามือกดตรวจเช็คดูความแข็งแรงของเก้าอี้หลายรอบ แต่ก็ไม่ได้ไปเอาเก้าอี้อีกตัวมาเสริม มันคงไม่มากรอบตัวที่กูนั่งหรอกน่า..
พระเริ่มสวดอีกรอบ ภาพบรรดาแขกที่นั่งอยู่ในศาลา อาจจะดูไม่งามตานัก เพราะมีสูง-ต่ำสลับกันไป
นั่งฟังพระสวดไป ความหลอนก็เข้ามาในหัว "มันจะหักมั้ยวะ?" ผมกำจัดความหลอนด้วยวิธีง่ายๆ โดยการนั่งทิ้งน้ำหนักให้ลงไปที่เก้าอี้น้อยที่สุด ....แล้วน้ำหนักที่เหลือไปไหนล่ะ??
อยู่ที่ขากู..
....
....
A B C D E F G
H I J K L M N O P
Q...!!
ตะคริวแดกขา
ผมค่อยๆลุกขึ้น เดินกระเผลกๆออกไปนอกศาลา สรุปคืนนั้นไม่ได้นั่งฟังพระจนจบ ไม่กล้ากลับไปนั่งเก้าอี้หรรษาตัวนั้น กลัวได้ของแถมกลับบ้าน
.........
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ฉันนั่งตกปลา อยู่ริมตลิ่ง..(4)
อ็อดตกได้ปลาเกล็ด(ปลาเกล็ดซื้อกลับบ้านได้) แต่พวกเราไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นปลาอะไร ตัวมันอ้วนๆกลมๆไม่เคยเห็น
น้านพแกตกปลามานมนาน เรื่อแค่นี้จิ๊บๆ แกเดินมาดูแล้วบอกว่า "ปลานิล" อ็อดเดินไปเรียกให้เจ้าของมาชั่ง กะว่าจะให้เจ้าของบ่อทอดให้กินกันเลย สดๆ สุดยอด..
เจ้าของบ่อเดินมาก้มดูปลา
แล้วก็บอกว่า นี่มันปลา"กระโห้" ในบ่อนี้มีไม่กี่ตัว ไม่ให้เอาออก (อ้าว
ไหนกูรูบอกว่าปลานิลไง) อ็อดทำหน้าเหมือนปลากระโห้ แล้วก็ปล่อยปลากระโห้ลงน้ำไป
บรรดาญาติๆเริ่มจะกลับบ้านกันไปเรื่อยๆ
จนตอนนี้เหลือแค่ ตัวผม น้านพ อ็อด อาร์ม(น้องชาย) รวมกัน4คน นั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย
จุดนี้ น้านพเริ่มจะนอกใจเหยื่อสูตรฟ้าประทานมาใช้ขอบขนมปังบ้างแล้ว
ปลามันถูกเลี้ยงด้วยขนมปัง
พอเรามาใช้ขนมปังเป็นเหยื่อ ปลาก็ติดเบ็ดบ่อยขึ้น คันเบ็ดมี4คัน เรานั่งเฝ้าคนละคัน
น้านพจะเฝ้าคันเบ็ดคันใหญ่ที่สุด ส่วนคนอื่นเฝ้าคันเล็ก
ช่วงหัวค่ำตกได้บ้าง หลุดบ้าง
ก็สนุกดี เพราะอย่างไงก็ต้องปล่อยกลับลงบ่อ อ็อดกระดกเหล้าหมดแก้ว
แล้วบ่นเบาๆว่า"รอให้เจ้าของบ่อกลับบ้านก่อนเหอะ เสร็จกูแน่"
เจ้าของบ่อพร้อมลูกสาวกลับไปแล้ว
สีหน้าของอ็อดเปล่งประกายความชั่วเต็มที่ เรา4คนนั่งวางแผนกันว่า ถ้าตกปลาได้
ให้อาร์มโยนข้ามฝั่งไปให้อ็อดซึ่งจะไปรออยู่ข้างนอกรั้ว
อ็อดก็จะรีบโยนปลาขึ้นหลังกระบะที่จอดอยู่หน้ารั้วพอดี
ผมทำหน้าที่ไปยืนดูลาดเลาพวกคนงานพม่าเผื่อมันเดินมาเห็น เราตกลงกันตามนี้..
ทุกอย่างลงตัว
รอแค่จะมีปลาผู้โชคร้ายตัวไหนมากินเหยื่อแค่นั้นเอง ไม่นานปลาก็กินเหยื่อ
ปฎิบัติการลับสุดยอดก็เริ่มขึ้น น้านพอาสาที่จะเย่อปลาขึ้นฝั่ง
อ็อดเดินหน้านิ่งๆออกไปรอข้างนอกรั้ว
ผมเดินถือแก้วเหล้าพร้อมฟอร์มว่าคุยโทรศัพท์ไปนั่งดักตรงมุมบ่อ
ดูความเคลื่อนไหวของคนงานพม่า อาร์มยืนถือสวิงเตรียมช้อนปลาขึ้นฝั่ง
ผมมองไปเห็นอาร์มช้อนปลาสวายขนาดประมาณ
15 กิโลกรัม
ขึ้นจากบ่อน้ำ ได้ตัวนี้ไปอิ่มทั้งบ้านแน่ๆ
อ็อดสั่งสัญญานให้อาร์มโยนปลาข้ามรั้วมา
ผมเห็นอ็อดอ้าแขนรอรับเต็มที่(กลัวปลาตกพื้น) อาร์มจับปลาที่หางชูขึ้นพร้อมจะเหวี่ยงข้ามไป
กรรมที่ส่งผลรวดเร็วที่สุดผมจะขอยกให้ข้อ"ลักทรัพย์" เพราะแค่เริ่มจะทำ ใจก็เต้นรัวยิ่งกว่าเสียงเบสในผับซะอีก นาทีนั้นตื่นเต้นเหมือนกำลังปล้นร้านทองที่เยาวราช
ผมหันกลับไปมองที่บ้านพักคนงานพม่าครู่หนึ่งเพื่อความชัวร์
ผมหันกลับมาดู
ก็เห็นภาพอาร์ม กำลังชูปลาขึ้น และ....ปล่อยกลับลงบ่อไป
อ็อด: เฮ้ย...!!
น้านพ: เฮ้ย...!!
อ็อดตาถลน อ้าปากค้าง
เหมือนกอลั่มผิดหวังที่ไม่ได้ของรักของข้า โธ่เอ้ย..
อ็อดเดินกลับมานั่งที่โต๊ะด้วยอาการหงุดหงิด
"มึงปล่อยปลาทำไมวะ" อ็อดถาม
ในขณะที่อาร์มกระดกเหล้าหมดแก้วแล้ว
ตอบเสียงสั่นๆว่า "มันเรียกชื่ออาร์ม"
มึงจะบ้าเรอะ..!!!
"มันเรียกอาร์มจริงๆนะ ดัง
อั๊ม อั๊ม" จุดจุดนั้น อยากโทรเรียกพี่ริว
จิตสัมผัสให้มาดูอาการน้องชายผมด่วนเลย โธ่ อิห่า
ปลาสวายพอมันขึ้นมาอยู่บนบกมันก็หายใจปากพะงาบๆ ก็มีเสียงแบบนั้นทุกตัวล่ะเว้ย
เรานั่งมองหน้ากันไปๆมาๆ
แล้วก็หัวเราะกันลั่นบ่อ
.....
หรือว่าจะทำบาปไม่ขึ้น
ผมและอ็อดเก็บคันเบ็ดแล้วมานั่งกินเหล้าอย่างเดียวดีกว่า
ตอนนี้ผมไม่อยากได้ปลากลับบ้านแล้วครับ เข้าใจว่า
วินาทีนั้นปลามันไม่อยากตายหรอกนะ
อาร์มอาจจะได้ยินว่ามันเรียกชื่ออาร์มเพื่อขอชีวิตจริงๆก็ได้
อาร์มสัมผัสได้จริงๆค่ะ
อาร์ม (ญาณทิพย์)
อ็อดยังคงบ่นๆอยู่ว่า
"เราเอามันไปกินไม่บาปหรอกน่า" ถ้าน้านพตกได้อีกตัว
ปฎิบัติการลับสุดยอดนี้ มันจะดำเนินการคนเดียวเอง
เวลาล่วงเลยไป
อ็อดเอ่ยปากชวนกันกลับบ้าน น้านพเดินไปจะเก็บเบ็ด
แต่แล้ว..ปลากินเหยื่อคันเบ็ดของน้านพ !!
อ็อดรีบวิ่งไปถือสวิงรอทันที
พร้อมทั้งบอกให้อาร์มนั่งรอเฉยๆ "เดี๋ยวกูุจัดการเอง"
น้านพเย่อกับปลาตัวนี้อย่างเมามันส์เลยครับ
อ็อดก็ยืนลุ้นอยู่ข้างๆกัน น้านพต่อสู้กับปลาตัวนั้นนานมากครับ
นานจนอ็อดกลับมานั่งเอามือเกยคางรอที่โต๊ะ
และน้านพก็ทำสำเร็จ
อ็อดต้องใช้สองมือลากสวิงที่มีปลาตัวใหญ่ขึ้นจากน้ำ
ตอนนี้อยากจะกรี๊ดให้บ้านแตกซะเหลือเกิน เพราะปลาที่เอาขึ้นมามันตัวใหญ่มาก
น้านพเดินไปจุดบุหรี่
แล้วก็เดินกลับมาชื่นชมผลงานของแก "ปลาบึก 40-50 กิโลได้มั้ง" แกพูด
อย่างเท่..
ไม่ต้องชื่นชงชื่นชมอะไรแล้วครับ
อ็อดฉุดกระชากลากถูกปลาบึกบิ๊กบึ้มตัวนั้นไปที่ริมรั้วแล้ว
ภาพอ็อดยกปลาตอนนั้นแม้งโครตขำ คือตัวมันก็ลื่น หนักก็หนัก ยกเดี๋ยวก็หล่น
เสื้อผ้าเละครับ
อ็อดบอกให้ผมไปรับข้างนอกรั้ว
ปลาบึกถูกอ็อดโยนมาข้างนอกรั้ว ผมรีบเปิดฝากระบะท้าย
แล้วรีบจับหางปลาเพื่อจะเหวี่ยงขึ้นหลังกระบะ แต่...ผมเหวี่ยงไม่ไหว โครตหนัก
ด้วยความร้อนรน(กลัวคนมาเห็น) อ็อดออกมาช่วยผมยกปลาตัวนั้นขึ้นรถครับ
แต่ไม่ได้เอาไว้หลังกระบะนะครับ พวกเราเอาปลาบึกบิ๊กบึ้มไปใส่ไว้ในรถ ตรงเบาะแค๊บ
(ไอเดียโครตดี..)
ผมและอ็อด
รีบออกรถไปออกห่างจากจุดนั้นอย่างเร็ว (น้านพและอาร์ม เอารถมาคนละคัน)
ขับออกมาได้ซักพัก เริ่มจะตั้งสติได้ เพราะกลิ่นคาวปลาเต็มรถมากๆ เอ่อ
แล้วกูเอาปลามาใส่ในรถทำไมวะเนี่ยะ...
ปลาบึกตัวยาวนอนขวางอยู่ที่เบาะแค๊บ
ผมจอดรถแล้วเอามาใส่ไว้ที่กระบะหลังแทนที่ เอาไงต่อดีวะ
...และอาร์มก็โทรมาให้ไปรับที่บ้านด้วย ผมขับไปรับอาร์ม และไปต่อกันที่บ้านน้านพ
นาด(ลูกพี่ลูกน้อง)
เดินมาดูแล้วอุทาน..โห้!! ขนาดนี้ขายได้หลายพัน ร้านอาหารรับซื้อแน่นอน
ผมและอ็อดเริ่มลังเล จะขายหรือจะเอาไว้กินดีกว่ากัน
ปลาบึกอึดมากครับ
ขนาดผ่านมาเกือบ1ชั่วโมง
มันยังไม่ตาย เราช่วยกันยกปลาไปหลังบ้าน เอาหัวปลาแช่ไว้ในกาละมัง
ผมเดินมาหน้าบ้าน
เพื่อตกลงกับอ็อดว่าจะเอาไปขายหรือเอาไว้กิน สรุปว่าเราจะเอาไปขาย เพื่อนำเงินมาซื้อเหล้า
แต่...
.....
โป๊กๆๆ
เสียงดังมาจากหลังบ้าน ผมรีบวิ่งไปดู เอ่อ...คือ
ตอนนี้น้านพเอามีดตัดหัวปลาออกเรียบร้อยแล้ว
....หมดกัน
แต่ก็เอาเถอะ
เอาไว้กินก็ได้
คืนนั้นน้านพทำปลาบึกผัดฉ่าให้กิน1จานใหญ่ ผมกินไปนิดเดียว
ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองผิด ผิดที่ขโมยปลาออกมาจากบ่อ
ผิดที่มีส่วนร่วมในการฆ่าปลาบึกตัวนี้
ทุกชีวิตรักชิวิตตัวเอง
ภาพปลาบึกตัวใหญ่ผมยังจำได้ดี ปลาบึกบิ๊กบึ้มตัวนั้นโชคไม่ดีเท่าปลาสวายที่ส่งเสียง"อั๊ม อั๊ม"
ตั้งแต่วันนั้น จนถึงปัจจุบัน
ผมไม่เคยตกปลาอีกเลย
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)



