วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

อบสมุนไพรเพื่อ..??

                                   

           เคยได้ยินมาว่า ช่วงอายุครบ2รอบ (24ปี)  ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ที่สุด  ช่วงอายุ3รอบ (36ปี) ช่วงนี้สมองจะเจริญเติบโตมากที่สุด ใช้ความคิดได้อย่างเต็มกำลัง หลังจากผ่านช่วงนี้ไป ทั้งร่างกายและสมองก็จะกอดคอกันร่วงโรยกันไปตามกาลเวลา
           ผมอยู่ในช่วงที่สมองคิดและสั่งการได้เต็มที่ แต่ร่างกายไม่ค่อยจะรับคำสั่งของสมองซักเท่าไหร่  "การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" ประโยคนี้โครตจริง
           เมื่อมีเวลาว่าง ผมจะสรรหาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงดูแลสุขภาพ ก็แนวๆ แช่น้ำร้อนน้ำแร่ แต่ด้วยระยะทางที่ไกลเกินไป จึงไม่ค่อยได้ไปบ่อยนัก
           พอดีเพื่อนผมแนะนำให้ลองไป"อบสมุนไพร" ที่วัดแห่งหนึ่ง  คุยฟุ้งว่าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้
           อ่ะ.. ลองไปก็ได้
           ...
          ช่วงเย็นของวันว่าง ผมมักจะเดินทางไปวัดแห่งหนึ่งใกล้ๆตัวเมือง ซึ่งมีการจัดสถานที่เป็นห้องอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ให้ญาติโยมได้มาใช้บริการ เรื่องค่าบริการก็แล้วแต่จะศรัทธาใส่ตู้
          ห้องอบ จะแบ่งเป็นโซน ชาย  หญิง  ฝั่งละ3ห้อง ขนาดห้องประมาณ 2.5x2.5 เมตร มีหม้อต้มแรงดันใบใหญ่ ตั้งอยู่กลางระหว่างห้องชายและหญิง
          มีหลวงพี่ท่านหนึ่งคอยทำหน้าที่ใส่ฟืนต้มน้ำ
          ...

         ครั้งแรกที่ผมไปอบ รู้สึกกลัวๆกล้าๆ เพราะผมเป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว กลัวเข้าไปในห้องอบแล้ว หายใจไม่ออก ช็อค เกร็ง ตาย บลาๆ
          ไม่ลองก็ไม่รู้ ..
          ผมเปิดประตูห้องอบครั้งแรก ก็พบกับไอน้ำฟุ้งกระจายอยู่เต็มห้อง อารมณ์เหมือนยืนอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตพี่เบิร์ด บวกกับกลิ่นของสมุนไพรไทยหลากหลายชนิด
          เข้าไปยืนได้5วินาที  ก็เด้งตัวออกจากห้องด้วยความเร็วแสง
          ทั้งร้อน อึดอัด หายใจไม่ออก ห้องก็แคบ คนก็เยอะ ยืนเบียดกัน  โอ๊วโน๊ว..ว.ว
          ผมเข้าๆออกๆห้องอบอยู่หลายครั้ง ไม่นานร่างกายก็รับสภาวะได้ และเริ่มนั่งอยู่ได้นานขึ้นเรื่อยๆ
          ในห้องอบจะมีม้านั่งหินอ่อน2ตัว วางอยู่ ผู้มาใช้บริการจะนั่งบ้าง ยืนบ้าง บางวันคนน้อยก็หลวมๆ บางวันคนเยอะก็เบียดๆกันไป
         เรื่องอุณหภูมิในห้องอบ จะร้อนมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับหลวงพี่ว่าท่านจะใส่ฟืนเข้าเตามากน้อยเพียงใด  ถ้าวันไหน มีคนร้องขอหลวงพี่ว่า "ทำไมวันนี้ไม่ร้อนเลย ขอร้อนๆหน่อยนะ" เอาล่ะ เปิดประเด็นมาแบบนี้ก็เตรียมรับความร้อนระดับแสบยั้นร่องตูดกันไว้ให้ดี
         หลวงพี่ท่านมีเมตตาปราณี กับญาติโยมมากจริงๆ
         ...
         ...
         ฟืนท่อนใหญ่ จะถูกบรรจุเข้าสู่เตาอย่างเต็มที่  เสียงไฟไหม้ฟืนดัง เปรี๊ยะๆ  ขอมาก็จัดให้..
         ...
         ...
         .... ร้อน ชิปหาย
         เมื่อกี้อีป้าคนไหนรีเควสไปฟระ..
         มีอยู่วันหนึ่งผมเพิ่งมาถึงห้องอบ เข้าไปเจอเก้าอี้ว่าง รีบเดินเข้าไปนั่ง แค่เสี้ยววินาที่ที่แก้มตูดสัมผัสผิวเก้าอี้  ตูดมันติดสปริงเด้งขึ้นมายืน พร้อมกับอุทาน "เ-ี้ยร้อน" และตามมาด้วยเสียงหัวเราะของคนรอบข้าง
         ...ถึงว่า ทำไมยืนกันหมด
         เป็นอันรู้กันว่า ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าขอร้อนๆ
         นอกจากหลวงพี่จะเมตตาญาติโยมแล้ว ท่านยังใจดี กลัวญาติโยมเข้าห้องอบแล้วจะเครียดจากความร้อน ท่านจึงจัดหาเสียงเพลงมาช่วยดับความร้อนให้พวกเรา
         บางวันแนวเพลงใต้ บ่าววี หลวงไก่ ก็นั่งอบเพลินกันไป
         บางวันแนวเพลงลูกทุ่งเศร้าๆ ก็นั่งอบซาบซึ้งกินใจกันไป
         บางวันแนวร็อค ก็นั่ง...
         ...
         หลวงพี่เปิดเพลงจาก YouTube น่ะครับ เพลงมันก็สุ่มตามแนวดนตรีไปเรื่อย
         ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีดนตรีอยู่ในหัวใจ
         ...
         เย็นวันหนึ่ง ผมไปถึงวัดเพื่ออบตามปรกติ แต่บรรยากาศรอบๆห้องอบเปลี่ยนไป
         หลวงพี่เปิด DJ. SR Nonstop จังหว่ะเร้าใจสายตื๊ดจริงๆ ตัดภาพมาในห้องอบ มีผมกับลุงสูงอายุ1คน แค่นั้น การที่ต้องอยู่ในห้องแคบๆกันสองต่อสอง มันก็รู้สึกแปลกๆเจื่อนๆเนอะ
         ท่ามกลางไอน้ำบวกกับกลิ่นสมุนไพร ร้อนก็ร้อน เพลงก็มันส์ ผมแก้เขินด้วยการตบเท้าตามจังหว่ะ ฝั่งอีตาลุงยังคงนั่งนิ่ง
         เสียงIntro เพลง All I Need Is Your Love  ดังแว่วมา แหม..เพลงโปรดเราซะด้วย ผมโยกไหล่ โยกหัวตามจังหว่ะเพลงด้วยความมันส์

          แอบชำเลืองมองลุง เริ่มจะมีอาการโยกตามเบาๆ  ไม่นานผมกับลุง ก็นั่งโยกหัวตามจังหว่ะเพลงไปด้วยกัน  ก็เพลงมันเร้าใจนี่หว่า..
          ...
          ผู้มาใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็น ลุงๆป้าๆสูงวัย ซึ่งท่านเหล่านั้นมาอบก็เพื่อหวังจะรักษาโรคร้ายต่างๆนานา  เพราะฉนั้นเพื่อนร่วมห้องขณะอบส่วนมากจะเป็นผู้สูงวัย
          ผมไม่แคร์หรอกนะ ลุงจะมานั่งขัดขี้ใคลที่ซอกตาตุ่มในห้อง จะยืนถูตัวจนเหงื่อกระเด็นมาโดนหน้าผม หรือ จะยืนเกาขา เกาไข่ เกาตูด เต็มที่ไปเลยครับ
          มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีกระเทย3นาย เปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องอบ พูดคุยดี๊ด๊า หฤหรรษกันสุดฤทธิ์  แต่มันมีอยู่คนนึงใส่เสื้อขาว หล่อนทำนมมาแล้ว...
           ....ร้อน ไอน้ำ สมุนไพร เหงื่อไหล ใคลย้อย
           เชรดโด้..!!!
           เสื้อในไม่ใส่ นี่มึงตั้งใจมาโชว์ใครห๊า..??
           แค่ความร้อนจากไอน้ำก็เพลียจะแย่ นี่กูต้องมาเห็นภาพหัวนมที่ดำทะมึนเหมือนเมฆฝนช่วงพายุฤดูร้อนอีกหรือนี่
           ....
           .... เฮ้อ
           เห็นแล้วอยากจะตัดหัวนมอีนี่ไปบูชาพระราหูซะจริงๆ
   
   
   
   
   

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

หมาที่ชื่อ...หมี

     
       ผมเคยเลี้ยงหมาชื่อหมี เลี้ยงหมาไม่ยุ่งยากเหมือนเลี้ยงหมี ผมจึงเลือกที่จะเลี้ยงหมาชื่อหมี เลี้ยงให้อ้วนพี ให้เหมือนหมีในร่างหมา..
       หมาเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมของสัตว์ที่เรียกตัวเองว่า"มนุษย์"  ไม่ว่าหมาจะจำแนกแยกแยะ ออกเป็นหลากหลายสายพันธุ์ คนเราก็เสาะแสวงหามาเลี้ยงได้ ทั้งตัวเล็กจิ๋วน่ารัก ไปถึงตัวใหญ่ยักษ์นิสัยดุร้าย
       หมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ดำเนินชีวิตไปตามอารมณ์ความรู้สึก ไม่รู้จัก ผิด ชอบ ชั่ว ดี  หิวก็ร้องหรือแสดงท่าทางอาการว่าหิว เจ้าของก็จะเอาอาหารมาให้กิน กินอิ่ม...ก็นอน  ผิดกับหมาจรจัด เมื่อท้องหิว ก็ต้องหากินตามถังขยะบ้าง เดินโซซัดโซเซไปตามบ้านเรือน น่าสงสาร...
       ธรรมชาติออกแบบให้สิ่งมีชีวิตแรกเกิดแทบทุกชนิด มีรูปร่างน่าชมน่ามอง หมาก็เช่นกัน  แรกเกิดมา น่ารักเหลือเกิน พอโตๆไป ขี่เหร่สุดโลก ทางออกสุดท้าย เปลี่ยนที่อยู่ให้ใหม่ ...เอาไปปล่อยวัด
       เพราะว่าหมาเป็นเดรัจฉาน การผสมพันธุ์จึงไม่มีการแยกแยะ ทั้งผสมกันเอง ทั้งผสมข้ามสายพันธุ์ ผลลัพธ์ที่ออกมา สวยงามน่ารัก ก็มีราคาค้าขายกันเป็นอาชีพได้ แต่หมาตามข้างทาง ผสมพันธุ์กันมั่วซั่วไปหมด ผลที่ออกมามันก็น่าตื่นตาตื่นใจเช่นกัน
        ผมเคยเห็นผลของการฟิวส์ชั่น ระหว่างหมาพันธุ์พุ๊ดเดิ้ลกับพันธุ์ทางบ้านๆ ผลที่ออกมา(ตอนแรกเกิดมันคงน่ารักแหล่ะ) แต่ร่างตอนโตเต็มวัยเป็นหมารูปร่างเท่าหมาไทยแต่ขนยาวหยิกเหมือนพุ๊ดเดิ้ล เอาคะแนนความขี้เหร่ไป10/10  ขำทุกครั้งที่เห็น..
       วัฏจักรวงจรชีวิตของหมา เวลาเร็วกว่ามนุษย์7เท่า ทั้งระบบร่างกายและความคิด แค่เราออกจากบ้านไปทำงาน1วัน แล้วกลับมาหาหมาที่เลี้ยงไว้ มันจะดีใจสุดๆเพราะว่าความคิดของมันคือ เราจากมันไปนานถึง7วัน
       ผมจำไม่ได้ว่าที่บ้านผมเคยเลี้ยงหมามากี่ตัว แต่ตัวที่อยู่มานานที่สุด คือ "หมี"  แม่ได้หมีมาจากคนรู้จักแถวๆบ้านพักทหาร ที่แม่ไปเก็บน้ำข้าวมาเลี้ยงหมู (ไม่งงนะ) แม่กลับบ้านมาพร้อมกับลูกหมาสีดำ2ตัว ตัวผู้และตัวเมีย
      ช่วงนั้นบ้านแม่กับบ้านยายอยู่ห่างกัน แม่จึงแยกหมาไปเลี้ยงที่บ้านแม่ตัวนึง หมีอยู่ที่บ้านยาย ตอนนั้นบ้านของแม่ไม่ค่อยมีคนอยู่ เช้าก็ต้องออกมาทำงานหมามันจึงไปอาศัยอยู่บ้านข้างๆแทน สรุปน้องสาวของหมี เพื่อนบ้านของแม่รับอุปการะไปโดยปริยาย
        หมีเป็นหมาที่มีลิ้นสีดำ ขนก็ดำสนิททั้งตัว เป็นที่ต้องตาต้องใจของ "ตาโอ"(เจ้าของร้านขายของชำหน้าปากซอย) แกเคยมาขอซื้อไอ้หมี ให้เหตุผลว่า หมาดำลิ้นดำ กินแล้วดี...  แต่ยายยืนยันแบบหนักแน่นว่าไม่ขาย ฉันก็รักของฉันเข้าใจใช่ไหม...
        หมีเติบโตมาด้วยความรักจากห้วงความอ่อนโยนของคุณยาย เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นหมีมันก็ห้าวตีนตามประสา อาณาเขตบริเวณรอบๆบ้าน ก็จะมีก๊กแก็งค์หมาเจ้าประจำอยู่หลายสำนัก แต่หมีมาเดี่ยว...และลุยเดี่ยว!!
       หมีมักจะมีบาดแผลกลับมาฝากให้ยายต้องปวดใจเสมอ ยายห่วงหมีมาก การปกป้องหมีจึงเกิดขึ้น ยายใช้เชือกผูกล่ามหมีไว้ใต้ต้นมะม่วงในบ้าน แต่ด้วยพละกำลัง แค่เชือกเส้นเล็กๆน่ะเรอะ หึหึ เอาหมีไม่อยู่หร๊อก..หมีมันจะเล็ดลอดออกไปฟาดฟันกับแก็งค์หมาข้างๆบ้านตลอด ไม่ต่างกับพวกเด็กช่างฯในกรุงเทพฯ
      ยายครุ่นคึดถึงวิธีจะหยุดความรุนแรงของหมี จะหัดให้หมีไปทำท่าซารางเฮโยน่ารักแบ๋วๆก็คงจะยากเกินไป สุดท้าย ยายเลือกใช้โซ่ล่ามคอหมีไว้ที่ใต้ต้นมะม่วงเช่นเดิม
      เกินพลังที่จะหลุดจากโซ่ตรวนได้ หมีต้องนอนจมอยู่กับความเศร้า  ด้วยความรักของยาย เห็นหมีซึมบ่อยๆยายก็เลยกร่อยๆ ยายก็ปิดประตูหน้าบ้านและก็ปล่อยให้หมีเป็นอิสระอยู่ภายในรั้วบ้าน ช่วงแรกๆหมีก็แฮ้ปปี้ดี แต่เลือดนักสู้ที่อยู่ข้างในมันพุ่งพล่าน ไหนจะพวกแก็งค์ข้างๆบ้านจะแวะเวียนมาฉี่ทีหน้าประตู ลบเหลี่ยมกันแบบนี้ มันต้องแหลกกันไปข้างนึงสิวะ
       หมีหาวิธีจะออกไปจัดการสั่งสอนไอ้พวกหมาข้างๆบ้าน และหมีก็ใช้หัวดันประตูบ้านหนีออกไปเข้าสู่สงคราม  นักรบต้องมีบาดแผล หมีก็เช่นกัน หมีถูกรุมกัดจนเป็นเรื่องชาชิน แต่ครั้งนั้นรุนแรงจนทำให้อัณฑะขาดหายไป1ข้าง
       หมีกลับมานอนเลียไข่ที่เหลืออยู่ข้างเดียวใต้ต้นมะม่วง สังเกตุจากบาดแผลถ้าปล่อยหมีไว้แบบนี้คงต้องจบชิวิตนักเลงภายในไม่กี่วันแน่นอน ยายจึงมอบภาระให้ลูกหลาน พาหมีไปพบแพทย์โดยด่วน..!!
       การอุ้มหมีขึ้นหลังรถกระบะไม่ใช่เรื่องยาก แต่การที่ผมต้องนั่งหลังกระบะไปกับหมาเมารถ จุดนี้ทำใจยากจริงๆ หมีเมารถแบบรุนแรง ยืนโงนเงน ล้มลุกคลุกคลาน น้ำลายยืดย้อย ถ้าไอ้พวกแก็งค์หมาข้างบ้านมาเห็นภาพนี้ มันคงเอาไปล้อไอ้หมียั้นลูกบวช
       รถมาจอดหน้าโรงพยาบาลสัตว์ประจำจังหวัด หน้าห้องมีหมา-แมวมารอตรวจหลายตัว ชิสุตัวเล็กๆ แมวเปอร์เซียขนฟู โกลเด้นตัวโตที่นอนหมอบอยู่ข้างเท้าเจ้าของ ผมอุ้มไอ้หมีลงจากรถ หมียืนตั้งสติอยู่แป๊บนึง อาการเมารถเริ่มดีขึ้น ผมเอาโซ่มามัดรอบมือให้แน่นหนาเพราะสถานการณ์ข้างหน้าตึงเครียดแน่นอน
        วงแตก...!!! ผมยึดไอ้หมีสุดแรง เพราะมันวิ่งกระโจนใส่หมาแมวที่นั่งรอตรวจมั่วไปหมด  มันจะโหดไปไหนของมัน สุดท้ายต้องลากมันออกไปสงบสติอารมณ์ข้างนอก  ถึงคิวหมีต้องเข้าตรวจ หมอยังกลัวหมาเลยครับ ต้องเอาเชือกมารัดปากมันไว้ แต่มันก็ยังดิ้นสู้เพราะอาการเจ็บแผล สุดท้ายหมอหาทางออกให้โดยการวางยาสลบ
        หมีโดนตัดพวงอัณฑะทิ้งทั้งหมด หมอเย็บแผลให้เรียบร้อย  หมีสะลึมสะลือตื่นมาที่ใต้ต้นมะม่วงภายในบ้าน หมีต้องใส่คอลล่าร์ ปลอกคอกันเลียแผล และหมีกลายเป็นโทรโข่งเคลื่อนที่ไปโดยปริยาย
        ผลจากการถูกตัดไข่ทิ้ง จะเรียกว่าถูกตอนก็ว่าได้ รูปร่างหมีเริ่มอวบอั๋น จากร่างกายที่กำยำบึกบึน หมีรักษาบาดแผลอยู่หลายวัน สุดท้ายแผลก็หายสนิท หมีกลายมาเป็นหมาอ้วนๆตัวนึง..
        ยิ่งหมีถูกล่ามโซ่ไว้นานขึ้น ความเครียดก็มากขึ้น หมีกลายเป็นหมาที่มีดีกรีความดุร้ายระดับ7 ดุชนิดที่ใครผ่านหน้าบ้านก็เห่า ใครไป-มาที่บ้านกลัวขี้หดตดหายกันหมด
       หลังจากเหตุการณ์นองเลือดจนใข่หายไป1ข้าง หมีไม่ได้ออกมาโลดแล่นนอกอาณาเขตบริเวณบ้านอีกเลย ยายกลัวว่าจะเกิดเหตุการซ้ำซากขึ้นมาอีก  แต่ยายก็สงสารหมีมาก และยายก็หาหนทางให้หมีได้ออกมาระบายความเครียดนอกบ้านได้อีกครั้ง
       ทุกๆวันเวลา2ทุ่มกว่าๆ ยายจะเปิดประตูปล่อยให้หมีได้โลดแล่นไปทั่วหน้าบ้าน กลิ่นฉี่ใครมาฉี่ไว้ใกล้ๆ หมีต้องตามไปฉี่ทับกลบรอยให้หมด ไอ้พวกหมาแก็งค์คู่อริก็จ้องจะเข้ามารุมหมีเช่นเคย แต่ติดที่มีคุณยายคอยถือไม้กายสิทธิ์ คอยปกป้องหมีให้ปลอดภัยอยู่เสมอ นี่สินะความรักที่ยายมีให้หมีอย่างท่วมท้น
      วันหนึ่ง...พี่ชายผมซื้อหมาพันธุ์ค๊อกเกอร์ มาจากสวนจตุจักร และตั้งชื่อว่า"ก็อง" ตั้งแต่ก้าวแรกที่พี่ชายอุ้มลูกหมาเข้ามาในบ้าน หมีแสดงอาการไม่พอใจอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเอาก็องไปวางไว้ตรงไหน หมีจะตามไปก่อกวนและมีแนวโน้นว่าจะทำร้ายก็อง สุดท้ายต้องเอาก็องขึ้นไปอยู่บนชั้น2ของบ้าน
      กว่าหมีจะยอมรับก็อง ก็ใช้เวลาหลายวัน บางทีหมีนอนกลางวันอยู่ ก็องมันก็เดินมาชวนไอ้หมีเล่นตามประสาลูกหมา แต่สิ่งที่ก็องได้กลับมา คือเสียงขู่ ประมาณว่า "อย่ามายุ่งกับกู"
      ก็องเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม หมีก็เติบโตเข้าสู่วัยชราภาพ แต่หมีก็ยังคงความเก๋าไว้เช่นเคย กิจกรรมของคุณยายเวลาสองทุ่มก็ยังคงปฎิบัติอยู่เหมือนเดิม หมีมันแก่ไปมาก เดินวนๆอยู่ไม่ไกลจากหน้าบ้านสักเท่าไหร่ แต่อีตัวที่วิ่งเฉิดฉายไปทั่วคือไอ้ก็อง
      คืนหนึ่ง... ผมไปยืนดูไอ้หมีและไอ้ก็องแทนคุณยาย หมีวิ่งฉี่อยู่แถวหน้าบ้าน ไอ้ก็องวิ่งหายไปในความมืดตามประสาวัยรุ่น สักพักก็องวิ่งกระหืดกระหอบมาซุบซิบกับหมี ผมยืนสังเกตุการณ์อย่างเงียบๆ ก็องวิ่งออกไปอย่างเร็วโดยที่มีหมีวิ่งตามไปด้วย ...ผมก็วิ่งตามไปด้วยความเป็นห่วง
       ก็องวิ่งมาหยุดที่บ่อนไก่ร้างห่างจากบ้านไม่ไกล หมีวิ่งตามมาแต่ไม่หยุดที่ไอ้ก็อง หมีตรงปรี่เข้าไปที่หมาพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดตัวใหญ่ยักษ์ หน้าตามันดูโง่ๆ ยืนงงๆอยู่ข้างบ่อนไก่  ผมตกใจมาก กะว่าไอ้หมีมันเล่นของใหญ่แน่ แต่ผมอยู่ห่างเกินกว่าจะไล่หมีไม่ให้ทำร้ายไอ้หมาผู้โชคร้ายตัวนั้น
       ภาพไอ้หมาหน้าโง่ตัวใหญ่โดนไอ้หมีกัดซะเละเทะผุดมาในหัวของผม ในขณะที่ผมวิ่งสุดชีวิตเพื่อจะเข้าห้ามศึกใหญ่ครั้งนี้...
       หมีวิ่งปรี่เข้าไป !! เข้าไปหยุด!! มองหน้ากัน ตัวนึงหน้าโง่ๆสูงใหญ่ ตัวนึงหน้าโหดๆเตี้ยกว่าเยอะ สบตากัน ไอ้เซนต์เบอร์นาร์ดมันก็เบือนหน้าหนีไม่สนใจใยดีแม้แต่น้อย หมีทำได้แค่เดินตามไปดมตูดเขาเท่านั้น โธ่...ไอ้ก็องมันคงหมดศรัทธาในตัวลูกพี่มันก็วันนี้แหล่ะ  คิดว่าจะแน่
      ก็องเดินคอตกกลับบ้าน ..
      หมีเป็นหมาที่กลัวน้ำมากๆ แต่ถ้าต้องโดนจับอาบน้ำ มันจะยืนตัวแข็งทื่อให้เราชำระล้างได้อย่างง่ายดาย แต่พออาบเสร็จ มันก็ไปคลุกฝุ่นเล่นอยู่ดี
       หมีชอบกินของหวานทุกชนิด ไอติม ขนม ทุเรียน
       ผมชอบเล่นกับหมี ชอบให้ลูบหัว เล่นวิ่งหนีให้มันวิ่งตาม แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ผมทำกับหมีได้ไม่บ่อย หมีไม่ชอบให้คนอุ้มตัวมัน
        บ่ายวันนั้น.. ผมสตาร์ทรถยนต์ เตรียมตัวไปขายของ หมีนอนหมอบอยู่ข้างล้อหลัง ปรกติหมีจะลุกเดินหนีไปนอนที่อื่น แต่วันนั้นหมีนอนนิ่ง
       ผมรีบเดินลงไปดูว่าหมีเป็นอะไร หมีนอนกระดิกหางไปมา ค่อยๆยกหัวมามองหน้าผม ผมจำแววตาคู่นั้นได้ดี แววตาที่แฝงไปด้วยความเศร้ามีน้ำตาคลอๆ... ผมลูบหัวมันช้าๆ พูดเบาๆว่า"ไหวไหม?" หมีสบตาผมอยู่พักใหญ่ แล้วหมีก็ลุกขึ้นเดินโซเซไปนอนหน้าบ้าน
       กว่าจะเลิกขายของผมก็กลับบ้านมาก็ดึกดื่น เปิดประตูเข้าบ้าน น้องผมเดินมาบอกว่า หมีตายแล้ว... ผมยิ้มแบบดีใจกึ่งเสียใจ ดีใจที่หมีไม่ต้องทุกข์ทรมานแล้ว แต่ก็เสียใจที่ต้องเสียหมีไป ตลอดเวลา14ปี ขอบใจนะที่อยู่เป็นเพื่อนกัน
      หมีนอนตายอยู่ข้างบ้าน ผมนั่งลูบหัวมันอยู่นาน ใจก็คิดถึงเหตุการณ์เก่าๆ การพลัดพรากมันน่ากลัวแบบนี้นี่เอง
      ผมขุดหลุมที่หน้าบ้าน ขุดไปก็คิดไปเรื่อย เสียใจ..
      สิ่งหนึ่งที่ผมอยากทำและผมก็กำลังจะได้ทำสมใจแล้ว ผมอุ้มหมีได้อย่างสนิทใจ ไม่ต้องกลัวมันดิ้นหนีอีกแล้ว
      ผมค่อยๆวางหมีลงในหลุม หมีส่งเสียงเรอส่งท้ายเบาๆ(ผมคงไปกดโดนท้องมัน ทำให้ลมในท้องเรอออกมา) ผมลูบบหัวหมีเป็นการลาครั้งสุดท้าย..
      ผมเกลียดความสูญเสีย เกลียดการจากลา ยิ่งผูกพันธ์มากเท่าไหร่ ตอนลาจากก็ยิ่งเสียใจมากเท่านั้น
      เราเสียน้ำตาให้กับการพลัดพรากมาเท่าไหร่กัน เราเวียนว่าย วกวน พบเจอ ลาจาก พลัดพราก เราอยู่ในวัฎสงสารนี้มานานเท่าไหร่
      ...
      ...
      แล้วทำไมเราไม่หาทางออกจากวัฎสงสารนี้...
   
   

     
     

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

โอ่ง..

     
        ทุกๆครั้งที่ได้ยินคำขวัญประจำจังหวัดราชบุรี "คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง เมืองโอ่งมังกร วัดขนอนหนังใหญ่ ตื่นใจถ้ำงาม ตลาดน้ำดำเนิน เพลินค้างคาวร้อยล้าน ย่านยี่สกปลาดี" ผมจะรู้สึกย้อนวันวานกับวรรคที่ว่า "เมืองโอ่งมังกร" เสมอ..
       ในอดีตถ้าพูดถึงจังหวัดราชบุรี แทบทุกคนจะต้องนึกถึง"โอ่งมังกร" แต่ปัจจุบันถ้าพูดถึงราชบุรีขึ้นมา ผู้คนส่วนใหญ่ ก็จะนึกถึงแต่สถานที่ท่องเที่ยวสวยๆในอำเภอสวนผึ้ง ซึ่งไม่มีในคำขวัญประจำจังหวัดด้วยซ้ำไป
       ผมมีความผูกพันธ์กับโอ่งมังกร แต่ก็ไม่เชิงแนบแน่นซาบซึ้งทรวงในขนาดปั้นโอ่งเองได้ แต่ผมโตมากับโรงงานผลิตเครื่องปั้นดินเผา หรือที่คนราชบุรีเรียกว่า "โรงโอ่ง"
       ตั้งแต่จำความได้ พ่อกับแม่ก็ทำงานอยู่ในโรงโอ่งทั้งคู่ พ่อจะทำหน้าที่ "ตีโอ่ง" โดยใช้อุปกรณ์ไม้ตีเหมือนไม้ปิงปอง แต่ไม้ตีจะมีความโค้งมนเพื่อที่จะตีโอ่งให้ออกมาได้ทรงสวยงาม ส่วนแม่จะทำหน้าที่พิมพ์ลายมังกรที่ผิวของโอ่ง และพิมพ์ลายมังกรที่ผิวของกระถาง เรียกอีกอย่างว่า "ติดดอก" ซึ่งพระเอกตัวจริงที่ผมรู้สึกผูกพันแนบแน่นแบบสุดขั้วหัวใจก็คือ กระถาง (นี่แหล่ะของจริง)
      วัยเด็กผมและพี่ชายจะต้องช่วยแบ่งเบาการทำงานของแม่ ถ้าแม่ต้องติดดอกโอ่ง ผมและพี่ก็ไม่ต้องช่วยทำอะไรมาก เพราะโอ่งใบใหญ่เกินกว่าพวกผมจะยกไหว แต่แม่ก็คงจะกลัวว่าผมจะว่างมากเกินไป แม่จึงมอบหน้าที่ ติดลูกนัยน์ตาที่ลวดลายมังกรมาให้ทำ  ผมก็ติดส่งๆไปงั้นแหล่ะ ห่วงไปเล่นซะมากกว่า ผลงานของการติดดอกโอ่งของแม่หลายๆใบ ....มังกรตาเหล่
      เมื่อแม่เสร็จงานจากโอ่งมังกรแล้ว ช่วงเวลาสนุกของผมและพี่ชายก็จะหมดลง (วลี หมดเวลาสนุกแล้วสิ ของเทเลทับบี้ แว็บเข้ามาในหัว) แม่จะไปเริ่มติดดอกกระถางต่อ ซึ่งจะต้องโยกย้ายสถานที่มาอีกฝากของโรงโอ่ง 
      กระถางที่แม่พิมพ์ลวดลายมังกร จะมีหลากหลายขนาด กระถางที่เพิ่งปั้นเสร็จ(ดินนิ่มมาก) จะถูกวางไว้บนแผ่นไม้กระดานขนาดประมาณ 80x80 ซม. ทิ้งไว้1วันก็จะแข็งตัวพอที่จะยกขึ้นมาพิมพ์ลายได้  ผมจะมีหน้าที่ยกกระถางขึ้นมาวางบน"แป้น"(โต๊ะที่มีแกนหมุนได้ เพื่อจะหมุนกระถางให้พิมพ์ลายมังกรได้ง่ายขึ้น) เมื่อแม่พิมพ์ลายเสร็จ พี่ชายก็จะทำหน้าที่ยกลงไปวาง  โดยที่ผมจะต้องคอยเก็บกระดานมาวางเรียงๆไว้ให้คนปั้นนำกลับไปใช้รองกระถางใหม่
       ถ้าวันไหนแม่มีงานเยอะ ทั้งโอ่งทั้งกระถาง ผมและพี่ชายจะต้องพบเจองานยาก ที่ท้าทายฝีมือในการยกกระถางที่เพิ่งปั้นเสร็จได้ไม่นานนัก ซึ่งมันจะนิ่มมากๆ ถ้ายกไม่ดี ก็เละ เสียหายกันไป ผมจะใช้แท็คติคการอุ้มกระถาง(เอาแขนโอบกระถางมาไว้ที่ลำตัว)  แต่แม่ก็จะต้องโดนหักเงินค่ากระถางที่เสียหายไปด้วย แม่ก็ไม่เคยต่อว่าแรงๆเรื่องที่เราทำของเสียหายซักเท่าไหร่ แต่ผมและพี่ชายจะรับรู้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของแม่เสมอ
       ฤดูหนาว กระถางจะแข็งตัวเร็วมากๆ ผมจะชอบยกกระถางที่แข็งๆ เพราะยกง่ายไม่ต้องกลัวเสียหาย ยกมือละใบยังได้ แต่พอยกไปได้ซักพัก จะรู้สึกเลยว่า "แสบมือมากๆ"
       ช่วงพักเที่ยงเสียงกระดิ่งรถจักรยานของ"ยายนิต" คือเสียงสวรรค์สำหรับผมและพี่ชาย เพราะนั่นคือสัญญานของรถขายน้ำหวานและขนมไทยๆจำพวกไข่หงษ์ สาคูไส้หมู ข้าวเหนียวหน้าสังขยา ฯลฯ ราคาถุงละ5บาท  จัดสาคูไส้หมูกับชาดำเย็นซักถุง ก็สุขใจ....
       ที่ริมรั้วโรงโอ่งใกล้ๆที่ผมยกกระถาง จะมีเปลญวนแขวนไว้ใกล้ๆต้นตะขบ ช่วงพักเที่ยงผมมักจะไปเก็บตะขบมากิน ถ้าถามว่าทำไมผมถึงไม่นอนเปลเพื่อพักผ่อนล่ะ ?   คำตอบ คือ ..ไอ้พี่ชาย มันแย่งไปนอนตลอด
      ในเมื่อมีกินเข้า ก็ต้องมีเอาออก... พูดถึงห้องสุขาของโรงโอ่งแห่งนี้ จะเป็นแนวธรรมชาติ รับรู้ได้ถึงความเย็นของสายลมและไอร้อนของแสงแดดที่มากระทบผิวหนังตูดได้อย่างชัดเจน ใครจะยึดพื้นที่หลังกองฟืน หรือใครจะกระชับพื้นที่หลังกองดินเพื่อใช้ในภารกิจระดับชาติก็ตามแต่สะดวก  การไปขี้ครั้งนึงจึงต้องมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ใครจะหิ้วน้ำใส่กระป๋องไปชำระล้าง หรือ ใครจะชอบแนวใช้ใบไม้เช็ดตูดก็ตามสะดวก แต่ต้องเลือกใบไม้ที่มีขนาดพอเหมาะและมีความยืดหยุ่นพอสมควร มิฉะนั้นถ้าขณะเช็ดสิ่งปฎิกูลแล้วใบไม้เกิดการฉีกขาด หายนะจะเกิดขึ้นกับฝ่ามือของคุณทันที ที่สำคัญที่สุดห้ามใช้ใบไม้ที่มีขนเด็ดขาด...
       รางวัลสำหรับการตรากตรำงานของผมและพี่ แม่สนองตัณหาของผมด้วยการพาไปซื้อเครื่องเกมส์ Family อารมณ์จุดนั้นที่หน้าร้านเกมส์มันมากกว่าคำว่าดีใจ  แต่ดีใจได้ไม่นานหรอก ผมกับพี่ก็ทะเลาะกันเรื่องตลับเกมส์ สรุปได้เครื่องFamilyพร้อมเกมส์Popeye กลับบ้าน
      วันเสาร์-อาทิตย์ แม่มีงานเยอะต้องออกไปโรงโอ่งตั้งแต่เช้า นั่นหมายความว่าผมจะต้องพลาดความสนุกสนานเพลิดเพลินของเด็กยุค'90ไปโดยปริยาย ผมจะอดดูการ์ตูนช่อง9  จำได้ว่าเคยแอบน้อยใจแม่หลายครั้ง แต่ก็เข้าใจว่าถ้าเราไม่มาช่วยแม่ยกกระถาง แม่จะต้องยกขึ้น-ยกลง คนเดียว ซึ่งมันช้าและเหนื่อยมาก
        .....
        .....
        ถ้าผมย้อนเวลากลับไปวัยเด็กได้ ผมจะมีคำพูดที่อยากจะพูดกับแม่ว่า..."ขอดูดาร์ก้อนบอลให้จบก่อน แล้วค่อยไปโรงโอ่งนะแม่นะ"
                                                                     .............
      
      

       

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ปั่น....จักรยาน

 
 
        การเดินทางจากที่หนึ่ง ไปสู่อีกที่หนึ่ง เพียงแค่ขยับร่างกายไปเป็นกริยาท่าทาง วิ่ง เดิน คลาน หรือจะกลิ้งตัว ก็สามารถไปถึงจุดหมายได้ แต่...ถ้าจุดหมายมีระยะทางเพิ่มเข้ามา แค่ใช้ร่างกายเคลื่อนย้ายตัวเองไปหาจุดหมาย คงจะต้องมีเวลาเข้ามาเป็นตัวแปรอีกหนึ่งตัว
        มนุษย์แก้ปัญหาได้ตรงจุด เมื่อต้องเสียเวลาในการเดินทาง มนุษย์จึงคิดค้นยานพาหนะขึ้นมา
        ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ มนุษย์ถูกฝึกให้รู้จักการใช้พาหนะตั้งแต่เด็ก ช่วงวัยเด็กแทบจะทุกคน จะต้องมีของเล่นที่เป็นรถ พอโตขึ้นมาอีก ก็เริ่มจะหัดที่จะใช้พาหนะ ไล่ไปตั้งแต่ รถ3ล้อถีบแบบเด็กๆ จักรยาน(แบบมีล้อพ่วงข้างกันล้ม) จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ เรือ เครื่องบิน  ฯลฯ
       ช่วงนี้ เราเริ่มหันกลับไปให้ความสนใจกับ"จักรยาน"มากขึ้น ยิ่งมีโครงการพิเศษ ปั่นเพื่อแม่ ปั่นเพื่อพ่อ กระแสปั่นจักรยานก็ยิ่งบูมตู้ม..ขึ้นมาอีก
       บ่อยครั้งที่ผมขับขี่รถไปบนท้องถนน แล้วประสบพบเจอก๊วนแก็งค์นักปั่นจักรยานขี่เรียงกันเป็นแถวยาว พลันก็หวนคิดถึงเรื่องราวของตัวเอง เกี่ยวกับจักรยานตอนเด็ก
       ....ภาพค่อยๆเบลอจางไปเป็นภาพขาวดำ
      กิเลสตัณหาเริ่มครอบงำผมตั้งแต่เด็ก ผมอยากได้จักรยานเป็นของตัวเองมากๆ ตอนเย็นที่ลานหน้าบ้านจะมีเด็กๆมาวิ่งเล่นกันเป็นประจำ "หนึ่ง"จะขี่จักรยานมาเล่นด้วย ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวคือ "มันเท่ว่ะ" เมื่อมีความอยากเกิดขึ้น กระบวนการความคิดก็เริ่มทำงาน
      ผมไปออดอ้อน"ยาย" ขอให้ซื้อจักรยาน ยายทำหน้านิ่งๆ สวนกลับมาด้วยคำพูดเบาๆว่า "มึงขี่เป็นแล้วเหรอ?"  คำพูดเพียงไม่กี่คำของยาย มันช่างเจ็บจุกเสียดซะเหลือเกิ๊น...
      เมื่อโดนยายดูถูกซะขนาดนี้ ใครจะยอมได้ ต้องจัดโชว์ให้ยายดูซะหน่อยว่าเราก็ขี่จักรยานได้นะครับ แหม่...
      ก่อนหน้านี้ ผมมักจะขอยืมจักรยานของหนึ่ง มาหัดขี่อยู่บ้าง ก็ถือว่าขี่ได้แล้วล่ะ แต่ยังไม่ค่อยเก่งซักเท่าไหร่  เย็นวันนั้น ผมขอยืมรถจักรยานของหนึ่งมาขี่ เพื่อจะแสดงให้ยายดูว่า ผมขี่จักรยานเป็นแล้วนะ
      โชว์ขี่จักรยานครั้งนั้น อารมณ์คงเหมือนรายการแสดงความสามารถก็อตทาเลนต์ โดยมีคุณยายเป็นคณะกรรมการ จะให้ "ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน"
      ผมเริ่มขี่จากหน้าบ้านไปสุดทางโค้ง และก็ขี่กลับมาจอดหน้าบ้าน สำเร็จ!! เย้...!!  แต่คณะกรรมการยังคงขาดความเชื่อมั่นในตัวนักแสดง จึงขอให้มีการขี่โชว์อีก1รอบ  จัดไปสิครับ เรื่องขี้หมาอ่ะ.. ผมเริ่มขีออกตัวจากหน้าบ้าน แต่ด้วยอินเนอร์นักขี่จักรยานแชมป์โลกมันมาเต็ม ผมปล่อยมือซ้าย ใช้มือขวาจับแฮนด์มือเดียว กะว่ายายเจอสเตปนี้ไป ต้องยอมจ่ายตังค์ซื้อให้แน่ๆ
      ด้วยความที่ยังเด็ก กำลังแขนยังไม่มาก แขนขวาของผมรั้งน้ำหนักไว้ไม่ได้ รถเริ่มเอียงซ้ายไปเรื่อยๆ และไปจบการแสดงอยู่ที่รั้วสังกะสีของเพื่อนบ้าน
      ผมยังจำบรรยากาศนั้นได้ดี ยายนั่งส่ายหน้าและอบอวนไปด้วยเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ยกเว้น"หนึ่ง เจ้าของรถ" สายตาคู่นั้นของยาย เปรียบเหมือนคำพูดของกรรมการก็อตทาเลนต์ "ยังไม่ผ่านค่ะ"

       ....
       ....
       เมื่อไม่มีพาหนะ การจะไปสู่จุดหมาย ก็ต้องใช้ร่างกายเคลื่อนที่ไปเอง
       การเดินทางไปซื้อขนมหน้าปากซอย ด้วยการ"เดินเท้า" สำหรับผมแล้วเป็นเรื่องที่เร้าใจมากถึงมากที่สุด ช่วงกลางซอยจะมีบ้านของยายA(นานสมมติ) แกเลี้ยงหมาไว้1ตัว สีดำ ดุโครต เด็กๆตั้งฉายามันว่า "แบร์กิ้งแบร์" แค่ไอ้แบร์ฯตัวเดียวก็กลัวขี้ขึ้นหัวแล้ว ยายAยังเลี้ยง"ห่าน"ไว้อีก2ตัว และก็อีกเช่นกัน ดุฉิบหาย!!
      การเดินเท้าไปซื้อขนมที่ปากซอยของผม อาจจะเร้าใจพอๆกับการเดินทางของ"โฟรโด"ในหนังเดอะลอร์ดฯ ก่อนจะถึงบ้านของไอ้แบร์กิ้งแบร์ ผมจะต้องมองดูว่าประตูบ้านเปิดอยู่หรือเปล่า และบ้านของยายAอยู่หัวมุมทางโค้ง ประตูบ้านของแกจึงมี2ประตู ถ้าประตู1ปิดก็สบายใจไปนิดนึง ไปลุ้นประตู2ต่อ แต่เวลาเดินผ่านไอ้แบร์ฯจะมาเห่ากรรโชกอยู่ที่หน้าประตู(ผมก็จะแลบลิ้นปลิ้นตาให้มันอยู่บ้าง) ตอนขากลับก็อย่าไว้วางใจ เพราะเคยเจอเคสขากลับ ยายAแกเปิดประตูไว้พอดี ไอ้เราก็เดินกินขนมชิวๆ กว่าจะมองเห็นว่าประตูเปิดอยู่ เสียงเห่าของไอ้แบร์ฯก็ดังแว็บมาแล้ว ...4x100 สิครับ รออะไร
      เรื่องวิ่งหนีหมา วิ่งมาหลายรอบแต่ก็เร็วกว่าหมามาตลอด(แอบดีใจ) แต่วิ่งหนี"ห่าน" เร้าใจกว่าหนีหมาหลายสิบเท่า อาจจะเป็นเพราะเคยพลาด ...ใช่ครับผมเคยพลาดวิ่งหนีห่านไม่ทันโดนงับเข้าที่ขา(แต่ไม่เข้า) มันยังคงเป็นตราบาปมาจนปัจจุบันนี้  โธ่...ชีวิต
      จำได้ว่า วันนั้นยายAปล่อยห่านออกมาเดินเล่นหน้าบ้าน ผมก็เดินผ่าน(ยังไม่รู้ว่ามันโหดขนาดไหน) สบตากันนิดนึง เออ..ก็แค่ห่านแล้วไง อยู่ๆพี่ห่านแกวิ่งกางปีก ส่งเสียง"แว๊กๆๆ"ปรี่เข้ามาหา
      ตอนนั้นตกใจ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมีพิษสงอะไรมาก จึงวิ่งหนีเบาๆ ออกแนวขำๆ แต่พอมันงับเข้าที่ขาเท่านั้นแหล่ะ วิ่งฝุ่นตลบ
      เหมือนว่าไอ้แบร์ฯและอีห่าน2ตัว ถูกคุณยายAป้อนข้อมูลไว้ว่า ถ้าเจอมนุษย์ที่เรียกว่าเด็ก จงกำจัดให้สิ้นซาก...เหอะๆๆ
      เวลาผ่านไป ผมมีจักรยานเป็นของตัวเองแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยได้ขี่ไปไหนไกลซักเท่าไหร่ ผิดกับของพี่ชาย ที่มันขี่จักรยานไปโรงเรียนได้ การที่ต้องนั่งซ้อนท้ายจักรยานของพี่ชายไปโรงเรียน ฟังดูเหมือนจะสบาย ก็แค่นั่งเฉยๆ มีคนขี่ให้ แต่....การเดินทางไปโรงเรียนต้องผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ ถ้าอารมณ์คนขี่ดี เขาก็จะปั่นให้เรานั่งไปตลอดเส้นทาง แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดี คนนั่งต้องลงเดินไปขึ้นกลางสะพาน(มันขี่ไปจอดรอที่กลางสะพาน) ดีจัง..
     บางวันตื่นสาย พี่ชายต้องรีบปั่นทำเวลาให้ทันเข้าเรียน ช่วงถนนลอดใต้สะพาน ทางจะชำรุดมากๆ หลุมมีทุกขนาดมาทั้งครอบครัว พอๆกับหลุมขนมครก ด้วยความเร่งรีบ พี่ชายขี่ฝ่าหลุมขนมครกไปด้วยความเร็วสูง และผลที่ตามมา.....  ผมตกรถกลายเป็นหนุมานคลุกฝุ่นตั้งแต่หลุมแรก
     ...
     ช่วงม.1 แม่ย้ายบ้านไปอยู่ที่ใหม่ ที่นี้เองผมได้ขี่จักรยานของตัวเองอย่างอิสระ มีตังค์ค่าขนมก็อดออมไว้แต่งรถจักรยาน เพื่อนใหม่ที่นี่มักจะชวนผมไปขี่จักรยานขึ้น"เขาแก่นจันทร์" ทุกครั้งที่รู้ว่าจะต้องไปขึ้นเขาแก่นจันทร์ ผมจะต้องเปลี่ยนผ้าเบรคล้อหลังรอไว้เลย เพราะตอนลงเขามันเร้าใจมาก
     ขาขึ้นเขา ทางบางช่วงชันมากๆ เราก็จะจูงรถเอา ทางไหนพอจะขี่ไหวก็ปั่นกันสุดฤทธิ์ ผมชอบบรรยากาศบนยอดเขามาก ข้างบนมี"พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ (พระสี่มุมเมือง)"  ประเทศไทยมีอยู่4จังหวัด
       -ทิศเหนือ  ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดลำปาง
       -ทิศใต้     ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดพัทลุง
       -ทิศตะวันออก  ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดสระบุรี
       -ทิศตะวันตก  ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดราชบุรี
      พวกเราจะไหว้พระปิดทอง นั่งคุยนั่งเล่นกันซักพัก แล้วช่วงเวลาเร้าใจก็มาถึง ทางลงเขาจะยาวประมาณ50-60เมตร ก็จะเป็นทางโค้งตัวยู สลับกันไปแบบนี้จนถึงตีนเขา แต่จะมีอยู่ช่วงหนึ่งเป็นทางลาดตรงยาว ทางช่วงนี้จะมีไว้ให้พวกผมได้ใช้ประลองความเร็วกันอยู่เสมอ พวกเราจะปล่อยให้รถจักรยานใหลลงมาพร้อมๆกัน ถือว่าเป็นช่วงวัดใจกันเลยก็ว่าได้ ใครเบรคก่อนจะเป็นผู้แพ้ แต่ผู้ชนะก็เสี่ยงจะเบรคไม่อยู่ด้วยเช่นกัน
     มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราแข่งวัดใจกันเช่นเดิม แต่ด้วยความมั่นใจในผ้าเบรคที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ ผมปล่อยรถให้ใหลไปไกลมากที่สุด เมื่อเห็นว่าเพื่อนๆเบรคกันทุกคนแล้ว ผมยังปล่อยรถให้ใหลไปอีกนิดนึง และผมก็บีบเบรคอย่างสุดแรงเกิด แต่ก็ยังต้านความเร็วที่มีอยู่ไม่ได้ จุดนั้นต้องใช้เบรคสำรองช่วยโดยด่วน ผมใช้เท้ารากับพื้นช่วยอีกแรง แต่ก็ยังเอาไม่อยู่ วินาทีนั้นทางออกสุดท้ายต้องสละยานแม่แล้วล่ะ ผมกระโจนตัวออกจากรถจักรยานคู่ชีพทันที
      รถจักรยานพุ่งชนขอบถนนกันตกเขา หน้ารถบูดเบี้ยว ถ้าผมไม่สละยานแม่ หน้าคนขี่ก็คงบูดเบี้ยวด้วยเช่นกัน ผมได้บาดแผลเล็กน้อย แต่ที่เสียใจมากที่สุดก็คือ...
      ....
      ....
      รองเท้าSchollพื้นสึกไปเยอะเลย
      ....โอ้ หม้าย....ย.ย จริ๊ง..ง.ง
   
   
   
     
   
   
   

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ประทินผิว

   
      ร่างกายมนุษย์มีผิวหนังเป็นอวัยวะที่คอยปกปิดห่อหุ้มอวัยวะภายในอื่นๆ มนุษย์ให้ความสำคัญกับผิวหนังมากที่สุด สรรหาเครื่องประทินผิวเพื่อจะดูแลให้มันคงสภาพเดิมไว้ ไม่ให้เสื่อมไปตามกาลเวลา
      ตั้งแต่เด็กเราไม่เคยสนใจที่จะดูแลผิวหนังเลย อาบน้ำเสร็จ ทาแป้งนิดหน่อยก็จบแล้ว ห่วงแต่จะไปเล่นท่าเดียว กว่าจะรู้สึกตัวว่า เฮ้ย...ต้องหาครีมมาทาหนังหน้าบ้างซะแล้ว ก็โน้น....ตอนเข้าสู่วัยรุ่น
      ผมเริ่มดูแลผิวหน้าก็เพราะทำตามพี่ชาย เรื่องทาครีมบนใบหน้าผมไม่ค่อยเน้น แต่เน้นแบบหนักแน่นไปที่โลชั่นเช็ดหนังหน้าซีบรีส(Sea Breeze)  ซีบรีสถือเป็นนวัตกรรมที่กระชากใจวัยรุ่นในยุค'90มาก มีให้เลือกใช้หลากหลายสูตร หลายสี แต่จะให้เร้าใจที่สุด ต้อง"สีฟ้า"
      ไม่ว่าจะเวลาไหน จะหลังล้างหน้า หลังกินข้าวเที่ยง หลังจากโดนครูด่า จะหลังอะไร เวลาไหนเราก็หยิบขวดซีบรีสบีบใส่สำลีแล้วเช็ด ยิ่งเช็ดก็ยิ่งรู้สึกสะอาด สดชื่น ยิ่งเห็นสำลีที่เช็ดหนังหน้ามีสิ่งสกปรกติดออกมาด้วยยิ่งสะใจ นี่แหน่ะ!!! บีบใส่สำลี ทาอีกรอบ..
      เราหลงเพลิดเพลินในความสะอาดของซีบรีส แต่ไม่ได้คิดถึงผลข้างเคียงของมันเลย หลังจากมีเพื่อนๆเริ่มบ่นให้ฟังถึงความร้ายกาจที่แอบแฝงมากับซีบรีส บางคนก็ว่าใช้ไปนานๆจะแพ้ บางคนก็ว่าหน้าเละ สิวแห่กันมาทั้งจักรวาล ผิวหนังหน้าจะบางลง จมูกจะบี้ ตาจะบอด ฯลฯ (อี2ข้อหลังนี่มันฟังแล้ว หดหู่จัง)
      ผมเริ่มไม่ค่อยมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์นี้ซะแล้ว ผมจึงหันไปคบกับครีมทาหน้ายี่ห้อเฮสลีน สโนว์(Hazeline Snow) หรือเรียกกันง่ายๆว่า ครีมภูเขา  ทาครั้งนึงนี่ก็นะ...อืม ขาวเด่นมาก
      เวลาว่างๆ ผมจะหาซื้อผง"สมุนไพรสุภาภรณ์" มาเพิ่มประสิทธิภาพความกระจ่างของใบหน้า เริ่มจากซองสีเหลืองขัดหนังหน้าไปก่อน 1 รอบ แล้วค่อยตามด้วยผงพอกหนังหน้าซองสีเขียว ตอนพอกหน้าจะได้อารมณ์เหมือนเล่นดินสอพองงานวันสงกรานต์ แต่มันมีความเย็นเพิ่มเข้ามา พอล้างออก คุณจะพบกับความกระจ่างใสแบบไร้ปรานี แต่10นาทีผ่านไป แม้ง...ดำเหมือนเดิม
      ปัญหาเรื่อง"สิว" ถือว่าเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับวัยรุ่นจริงๆ ช่วงวัยรุ่นใบหน้าของผมจะไม่ค่อยมีสิวมารบกวนซักเท่าไหร่ แต่พี่สิว แกจะมาเยือนตอนช่วงที่จะมีกิจกรรมพิเศษๆ อย่างเช่น ....อีก 2 วัน ที่โรงเรียนจะจัดงานกินเลี้ยงปีใหม่ พี่สิวแกก็แวะมาเยือน(ดีมากๆ)  ....วันมะรืน จะนัดเจอสาวๆ พี่สิวแกก็แวะมาหาอีกเช่นเดิม พี่สิวแกคงรู้ว่าเราเครียด แกเลยส่งสิวเลเวลสูงสุดมาเยือน "สิวหัวช้าง" โอ้วหม้ายนะ!!
       ถือว่าเป็นช่วงเวลาวิกฤตระดับที่4 ต้องหาวิธีมาจัดการไอ้สิวเม็ดนี้ไปให้ได้ บางคนแนะนำว่า ปล่อยไว้เฉยๆเดี่ยวมันก็หายไปเอง(ข้อนี้ทำไม่เคยได้เลย) บ้างก็ว่าเอากอเอี๊ยะมาติดที่หัวสิว อื่นๆอีกเยอะแยะ แต่วิธีที่ผมเลือกจะทำก็คือ.. บีบ !!
        การบีบสิว ใช่ว่าจะบีบกันสุ่มสี่สุ่มห้า เราจะต้องสังเกตุว่าการอับเสบของสิวมาถึงระดับใด ถ้าเม็ดสิวปูดโปนขึ้นมาเหมือนภูเขาไฟฟูจิ และที่ยอดภูเขาไฟมีสีเหลืองของหนองนิดๆ นั่นก็หมายความว่า ภูเขาไฟใกล้จะระเบิดแล้วล่ะ
       ถ้าสิวเม็ดใหญ่ๆ การบีบอาจจะทำให้หัวสิวมีความเร่งออกจากแก้มพุ่งไปสู่กระจกได้ และสิ่งที่จะตามมาก็คือ ลาวา...
       หลังจากนั้นไม่นาน พี่สิวจะค่อยๆจากเราไป แต่พี่แกกลัวว่าเราจะลืมเรื่องที่แกเคยมาเยือนบนใบหน้าเรา แกจึงทิ้งรอยแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ....ขอบใจนะ
        ...
        ช่วงม.ต้น ในสังคมของเพื่อนๆตอนนั้น เรื่องทรงผมก็มาแรงพอๆกับการดูแลใบหน้า พอมีเวลาว่างเป็นต้องแวะเข้าห้องน้ำไปแอบใส่น้ำมันใส่ผมยี่ห้อ"แอคชั่น"
      การใส่น้ำมันใส่ผมหรือเจลมาโรงเรียน ถือว่าผิดกฎ แต่มันก็มีพวกชอบแหกกฎอยู่แล้วล่ะ เหมือนว่าจะกลัวอาจารย์ฝ่ายปกครองจะว่างงาน เดี๋ยวแกเหงา...
     จุดนั้น ถ้าใครใส่น้ำมันแอคชั่นมาโรงเรียน ผมเงาแว๊บ หรือใส่เจลทำผมตั้งๆ บุคคลนั้นจะถูกสรรเสริญเยินยอจากคนรอบๆข้าง แต่ถ้าระหว่างวัน เดินไปประจันหน้ากับอาจารย์ฝ่ายปกครองเข้าล่ะก็... "ไปล้างออกเดี๋ยวนี้"(เสียงสูงปรี๊ด)
      เด็กม.ต้นกับเรื่องทรงผม เป็นอะไรที่กดดันพอสมควร เพราะอาจารย์ฝ่ายปกครองจะตั้งด่านตรวจหลังจากเลิกเข้าแถวหน้าเสาธงตอนเช้าเป็นประจำ หึหึ...มานี่เลย งิบๆๆ
      จำได้ว่ามีอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านชอบงิบผมนักเรียนมากๆ ชอบเป็นชีวิตจิตใจ นักเรียนจึงตั้งฉายาให้ว่า "ธิดา บาร์เบอร์"
      ผมไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่องโดนตรวจผมซักเท่าไหร่ เพราะช่วงนั้นผมจะตัดทรงสั้นมากๆเป็นทรงประจำตัวไปเลย แต่ก็มีปัญหาอื่นเข้ามาแทน การที่ตัดผมทรงนักเรียนไถข้างหลังขาวๆ จะตกเป็นเป้าหมายของไอ้พวกมือตบ ไอ้พวกนี้จะชอบย่องมาข้างหลัง แล้วก็....เพี๊ยะ!!
      "เออ.... ดังดีว่ะ"
      ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของคนรอบๆตัว
      ....
      ....
      กูล่ะเกลียดพวกมึงจริงๆ...

   
   
   
   

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ปม

   
       ความอ่อนแอมีอยู่ในตัวของทุกคน ความอ่อนแอถือว่าเป็นจุดอ่อนชนิดหนึ่งของจิตใจ ไม่ว่าความอ่อนแอนั้นจะเกิดมาจากความจำอันเจ็บปวดในอดีต ฝังเป็นปมเล็กๆอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ ถ้ามีเหตุการณ์ในปัจจุบันเกิดขึ้นให้ได้รับรู้หรือไปกระตุ้นปมเล็กๆปมนั้น เราอาจจะทำพฤติกรรมที่ผิดพลาดลงไปได้ โดยที่ไม่รู้ตัวเลย
      ภายในจิตใจของแต่ละคน อาจจะมีความทรงจำที่แย่ในอดีต เป็นความทรงจำที่เลวร้าย จนจิตใจจำฝังลึกลงไปเป็น"ปมด้อย" 
      ...
      เด็กน้อยคนหนึ่ง เติบโตมาในครอบครัวเล็กๆ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย จนถึงวันที่ต้องเข้าเรียนวันแรก
      การที่ต้องเข้าเรียนอนุบาลวันแรก มันเหมือนหนังดราม่าน้ำตาท่วมจอเรื่องหนึ่ง การที่ต้องยืนมองแม่ค่อยๆเดินจากไป(หลังจากที่มาส่งเข้าห้องเรียน)จนลับสายตา น้ำตามันก็พรั่งพรู ทะลักล้นออกมา
      ทุกครั้งที่ว่างจากกิจกรรมของครู เด็กน้อยจะมานั่งหน้าห้องเรียน เหม่อมองไปที่ถนน คิดว่า เมื่อไหร่นะ..ที่แม่จะมารับเราซักที??
       แว๊บแรก ที่เห็นแม่เดินมารับกลับบ้าน แม่คงไม่รู้หรอกว่า... แม่ได้พก"ความสุขก้อนโต" มาให้เด็กอนุบาลคนนี้ด้วย
       เด็กน้อยมักจะมานั่งเหม่อลอยคอยมองหาแม่เป็นประจำ จนทำให้เด็กน้อยไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
       เวลาผ่านไป เด็กน้อยเรียนชั้นประถมแล้ว ด้วยการที่เป็นเด็กตัวเล็กๆ ผอม ดำ ชอบทำอะไรตัวคนเดียว จึงถูกเพื่อนๆแกล้งเป็นประจำ
       กิจกรรมปิดตารุมตีหัว เอาของไปซ่อน โดนเตะ โดนต่อย เด็กน้อยเจอมาจนชินชา
       เวลาพักเที่ยง เด็กน้อยจะรีบลงไปซื้อทอดมัน 2 ไม้ พร้อมขอน้ำจิ้มเยอะๆ เพื่อจะนำมาราดข้าวเปล่า ที่ใส่อับข้าวมากินมื้อเที่ยงบนห้องเรียน เมื่อกินอิ่มแล้ว ก็จะเดินลงไปกินน้ำที่ก๊อกน้ำหัวทองเหลือง หน้าโรงอาหาร เป็นแบบนี้ประจำ
       เด็กน้อยจะเหลือเงินไว้ซื้อผลไม้ ร้านยายแก่ๆคนนึง ตอนเย็นหลังเลิกเรียนเป็นประจำ เด็กน้อยสงสารยายแก่ ที่ต้องลำบากมาขายของ  ใครจะว่าร้านของยายแก่สกปรก แต่เด็กน้อยไม่เคยรังเกียจเลยซักนิดเดียว
       บรรยากาศโรงเรียนตอนโพล้เพล้ เป็นบรรยากาศที่เด็กน้อยต้องพบเจอเป็นประจำ เพราะต้องนั่งรอแม่มารับกลับบ้าน แม่ต้องทำงานหนัก บางวันงานเยอะก็มารับกลับบ้านช้า
       วันเสาร์-อาทิตย์ ถ้าแม่มีงานเยอะ แม่ก็จะพาเด็กน้อยและพี่ชายไปช่วยงานด้วย แม้จะอยากดูการ์ตูนช่อง9ตอนเช้ามากแค่ไหนก็ตาม...
       แม่ของเด็กน้อยตอบแทนการไปช่วยทำงานด้วยการพาไปซื้อเครื่องเกมส์แฟมิลี่ แม่ใจดีที่สุด เรื่องจะแฮปปี้เอ็นดิ้ง ถ้าเด็กน้อยไม่ทะเลาะกับพี่ชายเรื่องการเลือกตลับเกมส์ซะก่อน...
       ด้วยบุคลิกที่เป็นคนผอมแห้งแรงน้อย ครูประจำชั้นจึงมอบทุนอาหารกลางวันให้เด็กน้อย เด็กน้อยดีใจ ....จะได้กินข้าวในถาดหลุมอลูมิเนียมซะที..
       เด็กน้อยรอว่าเมื่อไหร่ คุณครูจะนำบัตรอาหารกลางวันมาให้เขา ประจวบกับวันนั้น เพื่อนของเด็กน้อยไม่อยากกินข้าวในโรงอาหาร จึงให้บัตรเด็กน้อยไปกินแทน 
       เด็กน้อยคิดว่า อย่างไงเขาก็ได้โครงการอาหารกลางวันแล้ว การเอาบัตรเพื่อนไปกินก็คงไม่ได้ผิดอะไร
        เที่ยงวันนั้น เด็กน้อยเดินเข้าโรงอาหารด้วยใบหน้าเบิกบาน ยื่นบัตรให้นักเรียนเวรตรวจ เดินไปหยิบถาดหลุม เดินต่อแถวยื่นถาดให้เขาตักอาหารใส่ถาด เดินมานั่งที่โต๊ะ ข้าวในถาดหลุมในฝัน..
        แต่....ยังไม่ทันจะได้ตักข้าวใส่ปาก ครูที่คุมโรงอาหารก็มาดึงตัวให้ตามเขาไปคุยในร้านสหกรณ์
        เด็กน้อยถูกตั้งข้อหาเอาบัตรของเพื่อนมาใช้ เพราะชื่อที่บัตรกับชื่อที่ปักบนเสื้อไม่ตรงกัน เด็กน้อยบอกเหตุผลของเขาว่า เขาได้โครงการอาหารกลางวันแต่บัตรยังไม่ออก น่าจะใช้บัตรเพื่อนแทนไปก่อนได้
        ครูไม่ฟังเหตุผล เด็กน้อยถูกต่อว่าต่อขาน ถูกครูหยิกที่แขน ต่อหน้าเด็กๆที่มาซื้อของในร้านสหกรณ์ 
       ...
       แววตาที่หยามเหยียดของครูท่านนั้น เด็กน้อยจำได้ฝังใจ
       ปมเล็กๆปมนี้ ได้มัดแน่นอยู่ภายในจิตใจของเด็กน้อย เพียงเพราะแค่ "อาหารมื้อเที่ยง" มื้อเล็กๆในถาดหลุมอลูมิเนียม แค่นั้นเอง
        
       
       
       
       
       
     
      

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ลอกเลียนแบบ

     
        ตั้งแต่แรกเกิดมา เราไม่รู้จักอะไรเลยซักอย่าง แม้แต่อาการหายใจก็ทำไม่เป็น เพราะตอนอยู่ในท้องแม่ เรารับสารอาหารทั้งหายใจผ่าน"รกแม่" ความรู้สึกแรกเลยตอนที่เด็กทารกคลอดออกมา การที่ต้องสูดอากาศเข้าปอดครั้งแรก ตามสัญชาตญานการเอาชีวิตรอด ลมหายใจแรกที่ผ่านตั้งแต่จมูกลงไปถึงในปอด คงเปรียบเสมือนการเริ่มต้นการแสดงละครชีวิตบทใหม่....อีกครั้ง
        เพราะ"ไม่รู้" จึงต้อง"เรียนรู้"  กระบวนการเรียนรู้เริ่มเกิดขึ้นอย่างช้าๆ อะไรคือความหิว อะไรคือหนาว เด็กเริ่มเรียนรู้และจดจำ การซึมซับพฤติกรรมจากบุคคลรอบๆข้างก็เกิดขึ้น
        เด็กจะมีพฤติกรรมลอกเลียนแบบทั้งอุปนิสัย คำพูด กิริยาท่าทาง จากบุคคลรอบๆตัว จากสภาพแวดล้อม และไอ้ตัวพฤติกรรมลอกเลียนแบบนี้แหล่ะ ที่มันสามารถจะเปลี่ยนกิริยาอาการได้ในระยะเวลาสั้นๆ และรวมไปถึงเปลี่ยนนิสัยใจคอได้ในระยะยาว
       ผมเคยสงสัยว่าทำไม เมื่อเราเห็นคนมีอาการ"หาว" เราจะต้อง"หาว"ตามไปด้วย เก็บความสงสัยมานาน จนเมื่อมีพี่"กู(เกิ้ล)" ผมก็ได้คำตอบ ว่าที่เราหาวตามๆกันไปนั้น มันเกิดจากพฤติกรรมลอกเลียนแบบนั่นเอง
       ช่วงเรียนปวส. ผมเคยทดสอบพฤติกรรมลอกเลียนแบบจากคนใกล้ชิด กับเพื่อนๆในห้องเรียน
       ช่วงคาบเรียนวิชาเขียนแบบ อาจารย์จะทิ้งเวลาให้นักเรียนเขียนงาน2ชม. ช่วงเวลาที่ตั้งใจเขียนแบบอยู่ตอนนี้ ผมจะเริ่มการทดสอบ....
       ผมเริ่มร้องเพลง นักโทษประหาร(เพลงของพี่แมว จิรศักดิ์ ดังมากช่วงนั้น) ท่อนฮุก" มันจบแล้ว จบแล้ว อย่าเลย อย่าเสียเวลากับฉันดีกว่า" ผมร้องเบาๆ วนไปวนมา ในใจคิดว่า "ไอ้เก่ง" เพื่อนที่นั่งโต๊ะติดกัน มึงต้องร้องตามกูแน่ๆ
       .....
       ผมหยุดร้องเพลง นั่งเขียนแบบไปเงียบๆ ซักช่วงแค่อึดใจเดียว
        ....." มันจบแล้ว จบแล้ว อย่าเล๊ย อย่าเสียเวลากับช้านดีกว่า..." เก่งร้องเพลงตามผมเบาๆในลำคอ
       สำเร็จ....!!
       แบบนี้ต้องไปลองกับคนอื่นๆอีกเพื่อความแน่ใจ
       ผมลุกไปยืนดู"ไอ้เติร์ก"เขียนแบบอยู่ข้างๆมัน ผมร้องเพลงท่อนเดิมระหว่างยืนดูเติร์กเขียนแบบไปด้วย ร้องไป2รอบ และก็ถอยมาแอบฟังห่างๆ ดูซิว่าเติร์กจะร้องตามมั้ย??
       .....
       .....
       นานไปว่ะ หรือว่าจะใช้กับเติร์กไม่ได้ผล
       .....
       .....
       ... ."ทำเสร็จแล้ว เสร็จแล้ว อย่าเลย อย่าเสียเวลา กินข้าวดีกว่า" เติร์กเปลี่ยนเนื้อร้องให้เสร็จสรรพ
       Yes....!!!
       ต่อไป ผมคิดทดลองกับเด็กเนิร์ดๆ และต้องขุดเพลงเก่าๆมาเป็นเพลงทดสอบ
       ผมเดินไปหา"เกรียงไกร" เพื่อนที่เนิร์ดที่สุดขณะนั้น ผมทำฟอร์มไปยืนดูเขาเขียนแบบ และก็ร้องเพลง" เทียน ไม่ มี ไฟดับ เสือก เทียน ไม่ มี จะทำไง ไฟดับ เสือก เทียน ไม่ มี ไฟดับ เสือก เทียน ไม่ มี" อ่ะจัดเพลงนี้ไปให้ ดูซิว่าจะออกมาแบบไหน
        ถอยมาแอบฟังห่างๆ
        ....
        " เทียน หม้าย หมี่ ฮือ ฮื่ม ฮือ ฮื่ม ฮื้อ ฮือ" เกรียนไกร ฮืมเพลงเบาๆ
        เนิร์ดก็เนิร์ดเถอะ เสร็จไปอีกราย
        ผมถือว่าการทดลองของผมสำเร็จลุล่วง เป็นที่น่าภูมิใจอย่างมาก
        การใส่จังหว่ะ ทำนองเข้าไปในถ้อยคำพูดปรกติ สามารถเปลี่ยนให้ผู้ฟังจดจำประโยคนั้นได้ดีมากขึ้น บางคนฟังเพลงแค่รอบเดียว ร้องตามได้แล้ว แต่ถ้าให้มาลองฟังเป็นคำอ่านแบบประโยคธรรมดา ก็คงต้องใช้เวลานานกว่าจะจดจำได้ทั้งหมด หลักการนี้ถูกนำไปใช้กับการสวดมนต์บทต่างๆด้วยเช่นกัน
        อีกหนึ่งพฤติกรรมที่ผมแอบสงสัยมานาน ทำไมต้อง"ไทยมุง" พม่ามุงได้ไหม?? และฮังการีจะมาแอบมุงบ้างได้หรือเปล่า?? อยากรู้จริงๆ
        ทุกครั้งที่เริ่มมีกลุ่มคนยืมล้อมวงกันเป็นกลุ่ม ทำไมต้องเกิดอาการอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาโดยพลัน หรือว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์ จะสั่งให้สมองมีอาการ"เสือก"เป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมอยากรู้ อยากเห็น
        บ่ายวันหนึ่งระหว่างรอเข้าเรียน ผมเห็นขี้หมากองหนึ่ง ผมนั่งมองขี้หมากองนี้อยู่นานประดุจมันคืองาน"ศิลปะ"ชิ้นเอก ผลงานชิ้นนี้แยกออกเป็น4ส่วน ส่วนฐานเป็นวัตถุทรงกระบอกโค้งขดเป็นวงกลมงดงาม ส่วนที่2เป็นวัตถุทรงกระบอกวางพาดเป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง ส่วนที่3เป็นวัตถุทรงกระบอกอีกเช่นกันแต่คราวนี้วางพาดทับส่วนที่2เป็นรูปกากบาทอยู่บนฐานวงกลม
        เฮ้ย....หรือว่ามันจะบอกใบ้ว่าจุดนี้มีขุมทรัพย์
        ไฮไลท์อยู่ที่ส่วนสุดท้าย พี่แกคงสับสนว่าจะพอแล้วหรือจะเบ่งขี้ต่อไปอีก ผลงานจึงออกมาเป็นก้อนแหลมๆอยู่บนกากบาท อารมณ์เหมือนมีวิปครีมมาแปะอยู่ด้านบน นี่มันต้องใช้พรสวรรค์ล้วนๆ ยากที่จะลอกเลียนจริงๆ
       ผมนั่งอมยิ้มจ้องมองดูอยู่นาน จนอดใจไม่ไหวต้องลุกขึ้นไปยืมมองใกล้ๆ สันนิษฐานเบื้องต้น ผลงานชิ้นนี้คงถูกแดดเผามานานพอสมควร ดูจากสีภายนอกที่ออกไปทางดำคล้ำแบบนี้ล่ะก็....กรอบนอกนุ่มในแน่ๆ ฟันธง...!!!
      ผมยืนมองอยู่ไม่นาน เพื่อนๆก็เริ่มมามุงด้วย
      "กูว่าไม่ใช่ขี้หมาว่ะ ต้องเป็นไอ้พวกเด็กศิลป์ช็อปข้างๆ มาแอบขี้ไว้แน่ๆ" เพื่อนท่านหนึ่งวิเคราะห์ได้มีเหตุผล
      "ผลงานชิ้นยอดแบบนี้ เอาไปสตาฟเก็บไว้เหอะ" เพื่อนอีกท่านออกความเห็น
       เอ่อ...คือมึงเอาไปเก็บไว้ที่หัวเตียงห้องมึงเถอะ
       เพื่อนๆต่างวิจารณ์กันไปต่างๆนานา เฮฮากันไป
       ไม่นานก็มีไทยมุงเยอะขึ้น ขณะที่สายตาเพื่อนๆจับจ้องผลงานศิลปะอยู่นั้น ....
       ......
       ......
       "เฮ้ย พวกมึงยืนทำอะไรกันวะ" เสียงเติร์กดังมาจากด้านหลังของผม เติร์กเดินแทรกเข้ามากลางวง โดยที่เติร์กไม่รู้ตัวเลยว่า เติร์กได้ทำลายผลงานศิลปะอันเลอค่าไปซะแล้ว
      "ไอ้เติร์กเหยียบขี้.!!!!!!!!!" เพื่อนๆเปล่งเสียงประสานพร้อมกัน
       จุดนี้เพื่อนๆเปรียบเหมือนลูกดาร์ก้อนบอล ที่ถูกขอพรเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระจายออกไปคนละทิศคนละทาง ทิ้งให้เติร์กยืนนิ่ง งงแดกอยู่คนเดียว
       เติร์กออกสเตปท่าเต้น"มูนวอล์ก" ของ ไมเคิล แจ็คสัน  ลากขี้เป็นทางยาวไปห้องน้ำ
       .....
       เติร์กเป็นคน"ขี้"สงสัย จริงๆ
     
     
        ปล. ขอไว้อาลัยให้ เติร์ก ไว้ ณ ที่นี้
        รักเพื่อนเสมอนะ