วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ปั่น....จักรยาน
การเดินทางจากที่หนึ่ง ไปสู่อีกที่หนึ่ง เพียงแค่ขยับร่างกายไปเป็นกริยาท่าทาง วิ่ง เดิน คลาน หรือจะกลิ้งตัว ก็สามารถไปถึงจุดหมายได้ แต่...ถ้าจุดหมายมีระยะทางเพิ่มเข้ามา แค่ใช้ร่างกายเคลื่อนย้ายตัวเองไปหาจุดหมาย คงจะต้องมีเวลาเข้ามาเป็นตัวแปรอีกหนึ่งตัว
มนุษย์แก้ปัญหาได้ตรงจุด เมื่อต้องเสียเวลาในการเดินทาง มนุษย์จึงคิดค้นยานพาหนะขึ้นมา
ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ มนุษย์ถูกฝึกให้รู้จักการใช้พาหนะตั้งแต่เด็ก ช่วงวัยเด็กแทบจะทุกคน จะต้องมีของเล่นที่เป็นรถ พอโตขึ้นมาอีก ก็เริ่มจะหัดที่จะใช้พาหนะ ไล่ไปตั้งแต่ รถ3ล้อถีบแบบเด็กๆ จักรยาน(แบบมีล้อพ่วงข้างกันล้ม) จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ เรือ เครื่องบิน ฯลฯ
ช่วงนี้ เราเริ่มหันกลับไปให้ความสนใจกับ"จักรยาน"มากขึ้น ยิ่งมีโครงการพิเศษ ปั่นเพื่อแม่ ปั่นเพื่อพ่อ กระแสปั่นจักรยานก็ยิ่งบูมตู้ม..ขึ้นมาอีก
บ่อยครั้งที่ผมขับขี่รถไปบนท้องถนน แล้วประสบพบเจอก๊วนแก็งค์นักปั่นจักรยานขี่เรียงกันเป็นแถวยาว พลันก็หวนคิดถึงเรื่องราวของตัวเอง เกี่ยวกับจักรยานตอนเด็ก
....ภาพค่อยๆเบลอจางไปเป็นภาพขาวดำ
กิเลสตัณหาเริ่มครอบงำผมตั้งแต่เด็ก ผมอยากได้จักรยานเป็นของตัวเองมากๆ ตอนเย็นที่ลานหน้าบ้านจะมีเด็กๆมาวิ่งเล่นกันเป็นประจำ "หนึ่ง"จะขี่จักรยานมาเล่นด้วย ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวคือ "มันเท่ว่ะ" เมื่อมีความอยากเกิดขึ้น กระบวนการความคิดก็เริ่มทำงาน
ผมไปออดอ้อน"ยาย" ขอให้ซื้อจักรยาน ยายทำหน้านิ่งๆ สวนกลับมาด้วยคำพูดเบาๆว่า "มึงขี่เป็นแล้วเหรอ?" คำพูดเพียงไม่กี่คำของยาย มันช่างเจ็บจุกเสียดซะเหลือเกิ๊น...
เมื่อโดนยายดูถูกซะขนาดนี้ ใครจะยอมได้ ต้องจัดโชว์ให้ยายดูซะหน่อยว่าเราก็ขี่จักรยานได้นะครับ แหม่...
ก่อนหน้านี้ ผมมักจะขอยืมจักรยานของหนึ่ง มาหัดขี่อยู่บ้าง ก็ถือว่าขี่ได้แล้วล่ะ แต่ยังไม่ค่อยเก่งซักเท่าไหร่ เย็นวันนั้น ผมขอยืมรถจักรยานของหนึ่งมาขี่ เพื่อจะแสดงให้ยายดูว่า ผมขี่จักรยานเป็นแล้วนะ
โชว์ขี่จักรยานครั้งนั้น อารมณ์คงเหมือนรายการแสดงความสามารถก็อตทาเลนต์ โดยมีคุณยายเป็นคณะกรรมการ จะให้ "ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน"
ผมเริ่มขี่จากหน้าบ้านไปสุดทางโค้ง และก็ขี่กลับมาจอดหน้าบ้าน สำเร็จ!! เย้...!! แต่คณะกรรมการยังคงขาดความเชื่อมั่นในตัวนักแสดง จึงขอให้มีการขี่โชว์อีก1รอบ จัดไปสิครับ เรื่องขี้หมาอ่ะ.. ผมเริ่มขีออกตัวจากหน้าบ้าน แต่ด้วยอินเนอร์นักขี่จักรยานแชมป์โลกมันมาเต็ม ผมปล่อยมือซ้าย ใช้มือขวาจับแฮนด์มือเดียว กะว่ายายเจอสเตปนี้ไป ต้องยอมจ่ายตังค์ซื้อให้แน่ๆ
ด้วยความที่ยังเด็ก กำลังแขนยังไม่มาก แขนขวาของผมรั้งน้ำหนักไว้ไม่ได้ รถเริ่มเอียงซ้ายไปเรื่อยๆ และไปจบการแสดงอยู่ที่รั้วสังกะสีของเพื่อนบ้าน
ผมยังจำบรรยากาศนั้นได้ดี ยายนั่งส่ายหน้าและอบอวนไปด้วยเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ยกเว้น"หนึ่ง เจ้าของรถ" สายตาคู่นั้นของยาย เปรียบเหมือนคำพูดของกรรมการก็อตทาเลนต์ "ยังไม่ผ่านค่ะ"
....
....
เมื่อไม่มีพาหนะ การจะไปสู่จุดหมาย ก็ต้องใช้ร่างกายเคลื่อนที่ไปเอง
การเดินทางไปซื้อขนมหน้าปากซอย ด้วยการ"เดินเท้า" สำหรับผมแล้วเป็นเรื่องที่เร้าใจมากถึงมากที่สุด ช่วงกลางซอยจะมีบ้านของยายA(นานสมมติ) แกเลี้ยงหมาไว้1ตัว สีดำ ดุโครต เด็กๆตั้งฉายามันว่า "แบร์กิ้งแบร์" แค่ไอ้แบร์ฯตัวเดียวก็กลัวขี้ขึ้นหัวแล้ว ยายAยังเลี้ยง"ห่าน"ไว้อีก2ตัว และก็อีกเช่นกัน ดุฉิบหาย!!
การเดินเท้าไปซื้อขนมที่ปากซอยของผม อาจจะเร้าใจพอๆกับการเดินทางของ"โฟรโด"ในหนังเดอะลอร์ดฯ ก่อนจะถึงบ้านของไอ้แบร์กิ้งแบร์ ผมจะต้องมองดูว่าประตูบ้านเปิดอยู่หรือเปล่า และบ้านของยายAอยู่หัวมุมทางโค้ง ประตูบ้านของแกจึงมี2ประตู ถ้าประตู1ปิดก็สบายใจไปนิดนึง ไปลุ้นประตู2ต่อ แต่เวลาเดินผ่านไอ้แบร์ฯจะมาเห่ากรรโชกอยู่ที่หน้าประตู(ผมก็จะแลบลิ้นปลิ้นตาให้มันอยู่บ้าง) ตอนขากลับก็อย่าไว้วางใจ เพราะเคยเจอเคสขากลับ ยายAแกเปิดประตูไว้พอดี ไอ้เราก็เดินกินขนมชิวๆ กว่าจะมองเห็นว่าประตูเปิดอยู่ เสียงเห่าของไอ้แบร์ฯก็ดังแว็บมาแล้ว ...4x100 สิครับ รออะไร
เรื่องวิ่งหนีหมา วิ่งมาหลายรอบแต่ก็เร็วกว่าหมามาตลอด(แอบดีใจ) แต่วิ่งหนี"ห่าน" เร้าใจกว่าหนีหมาหลายสิบเท่า อาจจะเป็นเพราะเคยพลาด ...ใช่ครับผมเคยพลาดวิ่งหนีห่านไม่ทันโดนงับเข้าที่ขา(แต่ไม่เข้า) มันยังคงเป็นตราบาปมาจนปัจจุบันนี้ โธ่...ชีวิต
จำได้ว่า วันนั้นยายAปล่อยห่านออกมาเดินเล่นหน้าบ้าน ผมก็เดินผ่าน(ยังไม่รู้ว่ามันโหดขนาดไหน) สบตากันนิดนึง เออ..ก็แค่ห่านแล้วไง อยู่ๆพี่ห่านแกวิ่งกางปีก ส่งเสียง"แว๊กๆๆ"ปรี่เข้ามาหา
ตอนนั้นตกใจ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมีพิษสงอะไรมาก จึงวิ่งหนีเบาๆ ออกแนวขำๆ แต่พอมันงับเข้าที่ขาเท่านั้นแหล่ะ วิ่งฝุ่นตลบ
เหมือนว่าไอ้แบร์ฯและอีห่าน2ตัว ถูกคุณยายAป้อนข้อมูลไว้ว่า ถ้าเจอมนุษย์ที่เรียกว่าเด็ก จงกำจัดให้สิ้นซาก...เหอะๆๆ
เวลาผ่านไป ผมมีจักรยานเป็นของตัวเองแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยได้ขี่ไปไหนไกลซักเท่าไหร่ ผิดกับของพี่ชาย ที่มันขี่จักรยานไปโรงเรียนได้ การที่ต้องนั่งซ้อนท้ายจักรยานของพี่ชายไปโรงเรียน ฟังดูเหมือนจะสบาย ก็แค่นั่งเฉยๆ มีคนขี่ให้ แต่....การเดินทางไปโรงเรียนต้องผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ ถ้าอารมณ์คนขี่ดี เขาก็จะปั่นให้เรานั่งไปตลอดเส้นทาง แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดี คนนั่งต้องลงเดินไปขึ้นกลางสะพาน(มันขี่ไปจอดรอที่กลางสะพาน) ดีจัง..
บางวันตื่นสาย พี่ชายต้องรีบปั่นทำเวลาให้ทันเข้าเรียน ช่วงถนนลอดใต้สะพาน ทางจะชำรุดมากๆ หลุมมีทุกขนาดมาทั้งครอบครัว พอๆกับหลุมขนมครก ด้วยความเร่งรีบ พี่ชายขี่ฝ่าหลุมขนมครกไปด้วยความเร็วสูง และผลที่ตามมา..... ผมตกรถกลายเป็นหนุมานคลุกฝุ่นตั้งแต่หลุมแรก
...
ช่วงม.1 แม่ย้ายบ้านไปอยู่ที่ใหม่ ที่นี้เองผมได้ขี่จักรยานของตัวเองอย่างอิสระ มีตังค์ค่าขนมก็อดออมไว้แต่งรถจักรยาน เพื่อนใหม่ที่นี่มักจะชวนผมไปขี่จักรยานขึ้น"เขาแก่นจันทร์" ทุกครั้งที่รู้ว่าจะต้องไปขึ้นเขาแก่นจันทร์ ผมจะต้องเปลี่ยนผ้าเบรคล้อหลังรอไว้เลย เพราะตอนลงเขามันเร้าใจมาก
ขาขึ้นเขา ทางบางช่วงชันมากๆ เราก็จะจูงรถเอา ทางไหนพอจะขี่ไหวก็ปั่นกันสุดฤทธิ์ ผมชอบบรรยากาศบนยอดเขามาก ข้างบนมี"พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ (พระสี่มุมเมือง)" ประเทศไทยมีอยู่4จังหวัด
-ทิศเหนือ ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดลำปาง
-ทิศใต้ ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดพัทลุง
-ทิศตะวันออก ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดสระบุรี
-ทิศตะวันตก ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดราชบุรี
พวกเราจะไหว้พระปิดทอง นั่งคุยนั่งเล่นกันซักพัก แล้วช่วงเวลาเร้าใจก็มาถึง ทางลงเขาจะยาวประมาณ50-60เมตร ก็จะเป็นทางโค้งตัวยู สลับกันไปแบบนี้จนถึงตีนเขา แต่จะมีอยู่ช่วงหนึ่งเป็นทางลาดตรงยาว ทางช่วงนี้จะมีไว้ให้พวกผมได้ใช้ประลองความเร็วกันอยู่เสมอ พวกเราจะปล่อยให้รถจักรยานใหลลงมาพร้อมๆกัน ถือว่าเป็นช่วงวัดใจกันเลยก็ว่าได้ ใครเบรคก่อนจะเป็นผู้แพ้ แต่ผู้ชนะก็เสี่ยงจะเบรคไม่อยู่ด้วยเช่นกัน
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราแข่งวัดใจกันเช่นเดิม แต่ด้วยความมั่นใจในผ้าเบรคที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ ผมปล่อยรถให้ใหลไปไกลมากที่สุด เมื่อเห็นว่าเพื่อนๆเบรคกันทุกคนแล้ว ผมยังปล่อยรถให้ใหลไปอีกนิดนึง และผมก็บีบเบรคอย่างสุดแรงเกิด แต่ก็ยังต้านความเร็วที่มีอยู่ไม่ได้ จุดนั้นต้องใช้เบรคสำรองช่วยโดยด่วน ผมใช้เท้ารากับพื้นช่วยอีกแรง แต่ก็ยังเอาไม่อยู่ วินาทีนั้นทางออกสุดท้ายต้องสละยานแม่แล้วล่ะ ผมกระโจนตัวออกจากรถจักรยานคู่ชีพทันที
รถจักรยานพุ่งชนขอบถนนกันตกเขา หน้ารถบูดเบี้ยว ถ้าผมไม่สละยานแม่ หน้าคนขี่ก็คงบูดเบี้ยวด้วยเช่นกัน ผมได้บาดแผลเล็กน้อย แต่ที่เสียใจมากที่สุดก็คือ...
....
....
รองเท้าSchollพื้นสึกไปเยอะเลย
....โอ้ หม้าย....ย.ย จริ๊ง..ง.ง
วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ประทินผิว
ร่างกายมนุษย์มีผิวหนังเป็นอวัยวะที่คอยปกปิดห่อหุ้มอวัยวะภายในอื่นๆ มนุษย์ให้ความสำคัญกับผิวหนังมากที่สุด สรรหาเครื่องประทินผิวเพื่อจะดูแลให้มันคงสภาพเดิมไว้ ไม่ให้เสื่อมไปตามกาลเวลา
ตั้งแต่เด็กเราไม่เคยสนใจที่จะดูแลผิวหนังเลย อาบน้ำเสร็จ ทาแป้งนิดหน่อยก็จบแล้ว ห่วงแต่จะไปเล่นท่าเดียว กว่าจะรู้สึกตัวว่า เฮ้ย...ต้องหาครีมมาทาหนังหน้าบ้างซะแล้ว ก็โน้น....ตอนเข้าสู่วัยรุ่น
ผมเริ่มดูแลผิวหน้าก็เพราะทำตามพี่ชาย เรื่องทาครีมบนใบหน้าผมไม่ค่อยเน้น แต่เน้นแบบหนักแน่นไปที่โลชั่นเช็ดหนังหน้าซีบรีส(Sea Breeze) ซีบรีสถือเป็นนวัตกรรมที่กระชากใจวัยรุ่นในยุค'90มาก มีให้เลือกใช้หลากหลายสูตร หลายสี แต่จะให้เร้าใจที่สุด ต้อง"สีฟ้า"
ไม่ว่าจะเวลาไหน จะหลังล้างหน้า หลังกินข้าวเที่ยง หลังจากโดนครูด่า จะหลังอะไร เวลาไหนเราก็หยิบขวดซีบรีสบีบใส่สำลีแล้วเช็ด ยิ่งเช็ดก็ยิ่งรู้สึกสะอาด สดชื่น ยิ่งเห็นสำลีที่เช็ดหนังหน้ามีสิ่งสกปรกติดออกมาด้วยยิ่งสะใจ นี่แหน่ะ!!! บีบใส่สำลี ทาอีกรอบ..
เราหลงเพลิดเพลินในความสะอาดของซีบรีส แต่ไม่ได้คิดถึงผลข้างเคียงของมันเลย หลังจากมีเพื่อนๆเริ่มบ่นให้ฟังถึงความร้ายกาจที่แอบแฝงมากับซีบรีส บางคนก็ว่าใช้ไปนานๆจะแพ้ บางคนก็ว่าหน้าเละ สิวแห่กันมาทั้งจักรวาล ผิวหนังหน้าจะบางลง จมูกจะบี้ ตาจะบอด ฯลฯ (อี2ข้อหลังนี่มันฟังแล้ว หดหู่จัง)
ผมเริ่มไม่ค่อยมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์นี้ซะแล้ว ผมจึงหันไปคบกับครีมทาหน้ายี่ห้อเฮสลีน สโนว์(Hazeline Snow) หรือเรียกกันง่ายๆว่า ครีมภูเขา ทาครั้งนึงนี่ก็นะ...อืม ขาวเด่นมาก
เวลาว่างๆ ผมจะหาซื้อผง"สมุนไพรสุภาภรณ์" มาเพิ่มประสิทธิภาพความกระจ่างของใบหน้า เริ่มจากซองสีเหลืองขัดหนังหน้าไปก่อน 1 รอบ แล้วค่อยตามด้วยผงพอกหนังหน้าซองสีเขียว ตอนพอกหน้าจะได้อารมณ์เหมือนเล่นดินสอพองงานวันสงกรานต์ แต่มันมีความเย็นเพิ่มเข้ามา พอล้างออก คุณจะพบกับความกระจ่างใสแบบไร้ปรานี แต่10นาทีผ่านไป แม้ง...ดำเหมือนเดิม
ปัญหาเรื่อง"สิว" ถือว่าเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับวัยรุ่นจริงๆ ช่วงวัยรุ่นใบหน้าของผมจะไม่ค่อยมีสิวมารบกวนซักเท่าไหร่ แต่พี่สิว แกจะมาเยือนตอนช่วงที่จะมีกิจกรรมพิเศษๆ อย่างเช่น ....อีก 2 วัน ที่โรงเรียนจะจัดงานกินเลี้ยงปีใหม่ พี่สิวแกก็แวะมาเยือน(ดีมากๆ) ....วันมะรืน จะนัดเจอสาวๆ พี่สิวแกก็แวะมาหาอีกเช่นเดิม พี่สิวแกคงรู้ว่าเราเครียด แกเลยส่งสิวเลเวลสูงสุดมาเยือน "สิวหัวช้าง" โอ้วหม้ายนะ!!
ถือว่าเป็นช่วงเวลาวิกฤตระดับที่4 ต้องหาวิธีมาจัดการไอ้สิวเม็ดนี้ไปให้ได้ บางคนแนะนำว่า ปล่อยไว้เฉยๆเดี่ยวมันก็หายไปเอง(ข้อนี้ทำไม่เคยได้เลย) บ้างก็ว่าเอากอเอี๊ยะมาติดที่หัวสิว อื่นๆอีกเยอะแยะ แต่วิธีที่ผมเลือกจะทำก็คือ.. บีบ !!
การบีบสิว ใช่ว่าจะบีบกันสุ่มสี่สุ่มห้า เราจะต้องสังเกตุว่าการอับเสบของสิวมาถึงระดับใด ถ้าเม็ดสิวปูดโปนขึ้นมาเหมือนภูเขาไฟฟูจิ และที่ยอดภูเขาไฟมีสีเหลืองของหนองนิดๆ นั่นก็หมายความว่า ภูเขาไฟใกล้จะระเบิดแล้วล่ะ
ถ้าสิวเม็ดใหญ่ๆ การบีบอาจจะทำให้หัวสิวมีความเร่งออกจากแก้มพุ่งไปสู่กระจกได้ และสิ่งที่จะตามมาก็คือ ลาวา...
หลังจากนั้นไม่นาน พี่สิวจะค่อยๆจากเราไป แต่พี่แกกลัวว่าเราจะลืมเรื่องที่แกเคยมาเยือนบนใบหน้าเรา แกจึงทิ้งรอยแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ....ขอบใจนะ
...
ช่วงม.ต้น ในสังคมของเพื่อนๆตอนนั้น เรื่องทรงผมก็มาแรงพอๆกับการดูแลใบหน้า พอมีเวลาว่างเป็นต้องแวะเข้าห้องน้ำไปแอบใส่น้ำมันใส่ผมยี่ห้อ"แอคชั่น"
การใส่น้ำมันใส่ผมหรือเจลมาโรงเรียน ถือว่าผิดกฎ แต่มันก็มีพวกชอบแหกกฎอยู่แล้วล่ะ เหมือนว่าจะกลัวอาจารย์ฝ่ายปกครองจะว่างงาน เดี๋ยวแกเหงา...
จุดนั้น ถ้าใครใส่น้ำมันแอคชั่นมาโรงเรียน ผมเงาแว๊บ หรือใส่เจลทำผมตั้งๆ บุคคลนั้นจะถูกสรรเสริญเยินยอจากคนรอบๆข้าง แต่ถ้าระหว่างวัน เดินไปประจันหน้ากับอาจารย์ฝ่ายปกครองเข้าล่ะก็... "ไปล้างออกเดี๋ยวนี้"(เสียงสูงปรี๊ด)
เด็กม.ต้นกับเรื่องทรงผม เป็นอะไรที่กดดันพอสมควร เพราะอาจารย์ฝ่ายปกครองจะตั้งด่านตรวจหลังจากเลิกเข้าแถวหน้าเสาธงตอนเช้าเป็นประจำ หึหึ...มานี่เลย งิบๆๆ
จำได้ว่ามีอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านชอบงิบผมนักเรียนมากๆ ชอบเป็นชีวิตจิตใจ นักเรียนจึงตั้งฉายาให้ว่า "ธิดา บาร์เบอร์"
ผมไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่องโดนตรวจผมซักเท่าไหร่ เพราะช่วงนั้นผมจะตัดทรงสั้นมากๆเป็นทรงประจำตัวไปเลย แต่ก็มีปัญหาอื่นเข้ามาแทน การที่ตัดผมทรงนักเรียนไถข้างหลังขาวๆ จะตกเป็นเป้าหมายของไอ้พวกมือตบ ไอ้พวกนี้จะชอบย่องมาข้างหลัง แล้วก็....เพี๊ยะ!!
"เออ.... ดังดีว่ะ"
ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของคนรอบๆตัว
....
....
กูล่ะเกลียดพวกมึงจริงๆ...
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ปม
ความอ่อนแอมีอยู่ในตัวของทุกคน ความอ่อนแอถือว่าเป็นจุดอ่อนชนิดหนึ่งของจิตใจ ไม่ว่าความอ่อนแอนั้นจะเกิดมาจากความจำอันเจ็บปวดในอดีต ฝังเป็นปมเล็กๆอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ ถ้ามีเหตุการณ์ในปัจจุบันเกิดขึ้นให้ได้รับรู้หรือไปกระตุ้นปมเล็กๆปมนั้น เราอาจจะทำพฤติกรรมที่ผิดพลาดลงไปได้ โดยที่ไม่รู้ตัวเลย
ภายในจิตใจของแต่ละคน อาจจะมีความทรงจำที่แย่ในอดีต เป็นความทรงจำที่เลวร้าย จนจิตใจจำฝังลึกลงไปเป็น"ปมด้อย"
...
เด็กน้อยคนหนึ่ง เติบโตมาในครอบครัวเล็กๆ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย จนถึงวันที่ต้องเข้าเรียนวันแรก
การที่ต้องเข้าเรียนอนุบาลวันแรก มันเหมือนหนังดราม่าน้ำตาท่วมจอเรื่องหนึ่ง การที่ต้องยืนมองแม่ค่อยๆเดินจากไป(หลังจากที่มาส่งเข้าห้องเรียน)จนลับสายตา น้ำตามันก็พรั่งพรู ทะลักล้นออกมา
ทุกครั้งที่ว่างจากกิจกรรมของครู เด็กน้อยจะมานั่งหน้าห้องเรียน เหม่อมองไปที่ถนน คิดว่า เมื่อไหร่นะ..ที่แม่จะมารับเราซักที??
แว๊บแรก ที่เห็นแม่เดินมารับกลับบ้าน แม่คงไม่รู้หรอกว่า... แม่ได้พก"ความสุขก้อนโต" มาให้เด็กอนุบาลคนนี้ด้วย
เด็กน้อยมักจะมานั่งเหม่อลอยคอยมองหาแม่เป็นประจำ จนทำให้เด็กน้อยไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
เวลาผ่านไป เด็กน้อยเรียนชั้นประถมแล้ว ด้วยการที่เป็นเด็กตัวเล็กๆ ผอม ดำ ชอบทำอะไรตัวคนเดียว จึงถูกเพื่อนๆแกล้งเป็นประจำ
กิจกรรมปิดตารุมตีหัว เอาของไปซ่อน โดนเตะ โดนต่อย เด็กน้อยเจอมาจนชินชา
เวลาพักเที่ยง เด็กน้อยจะรีบลงไปซื้อทอดมัน 2 ไม้ พร้อมขอน้ำจิ้มเยอะๆ เพื่อจะนำมาราดข้าวเปล่า ที่ใส่อับข้าวมากินมื้อเที่ยงบนห้องเรียน เมื่อกินอิ่มแล้ว ก็จะเดินลงไปกินน้ำที่ก๊อกน้ำหัวทองเหลือง หน้าโรงอาหาร เป็นแบบนี้ประจำ
เด็กน้อยจะเหลือเงินไว้ซื้อผลไม้ ร้านยายแก่ๆคนนึง ตอนเย็นหลังเลิกเรียนเป็นประจำ เด็กน้อยสงสารยายแก่ ที่ต้องลำบากมาขายของ ใครจะว่าร้านของยายแก่สกปรก แต่เด็กน้อยไม่เคยรังเกียจเลยซักนิดเดียว
บรรยากาศโรงเรียนตอนโพล้เพล้ เป็นบรรยากาศที่เด็กน้อยต้องพบเจอเป็นประจำ เพราะต้องนั่งรอแม่มารับกลับบ้าน แม่ต้องทำงานหนัก บางวันงานเยอะก็มารับกลับบ้านช้า
วันเสาร์-อาทิตย์ ถ้าแม่มีงานเยอะ แม่ก็จะพาเด็กน้อยและพี่ชายไปช่วยงานด้วย แม้จะอยากดูการ์ตูนช่อง9ตอนเช้ามากแค่ไหนก็ตาม...
แม่ของเด็กน้อยตอบแทนการไปช่วยทำงานด้วยการพาไปซื้อเครื่องเกมส์แฟมิลี่ แม่ใจดีที่สุด เรื่องจะแฮปปี้เอ็นดิ้ง ถ้าเด็กน้อยไม่ทะเลาะกับพี่ชายเรื่องการเลือกตลับเกมส์ซะก่อน...
ด้วยบุคลิกที่เป็นคนผอมแห้งแรงน้อย ครูประจำชั้นจึงมอบทุนอาหารกลางวันให้เด็กน้อย เด็กน้อยดีใจ ....จะได้กินข้าวในถาดหลุมอลูมิเนียมซะที..
เด็กน้อยรอว่าเมื่อไหร่ คุณครูจะนำบัตรอาหารกลางวันมาให้เขา ประจวบกับวันนั้น เพื่อนของเด็กน้อยไม่อยากกินข้าวในโรงอาหาร จึงให้บัตรเด็กน้อยไปกินแทน
เด็กน้อยคิดว่า อย่างไงเขาก็ได้โครงการอาหารกลางวันแล้ว การเอาบัตรเพื่อนไปกินก็คงไม่ได้ผิดอะไร
เที่ยงวันนั้น เด็กน้อยเดินเข้าโรงอาหารด้วยใบหน้าเบิกบาน ยื่นบัตรให้นักเรียนเวรตรวจ เดินไปหยิบถาดหลุม เดินต่อแถวยื่นถาดให้เขาตักอาหารใส่ถาด เดินมานั่งที่โต๊ะ ข้าวในถาดหลุมในฝัน..
แต่....ยังไม่ทันจะได้ตักข้าวใส่ปาก ครูที่คุมโรงอาหารก็มาดึงตัวให้ตามเขาไปคุยในร้านสหกรณ์
เด็กน้อยถูกตั้งข้อหาเอาบัตรของเพื่อนมาใช้ เพราะชื่อที่บัตรกับชื่อที่ปักบนเสื้อไม่ตรงกัน เด็กน้อยบอกเหตุผลของเขาว่า เขาได้โครงการอาหารกลางวันแต่บัตรยังไม่ออก น่าจะใช้บัตรเพื่อนแทนไปก่อนได้
ครูไม่ฟังเหตุผล เด็กน้อยถูกต่อว่าต่อขาน ถูกครูหยิกที่แขน ต่อหน้าเด็กๆที่มาซื้อของในร้านสหกรณ์
...
แววตาที่หยามเหยียดของครูท่านนั้น เด็กน้อยจำได้ฝังใจ
ปมเล็กๆปมนี้ ได้มัดแน่นอยู่ภายในจิตใจของเด็กน้อย เพียงเพราะแค่ "อาหารมื้อเที่ยง" มื้อเล็กๆในถาดหลุมอลูมิเนียม แค่นั้นเอง
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


