วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ฉันนั่งตกปลา อยู่ริมตลิ่ง..(3)


            ความเชื่อของคนเรา มีทั้งเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง และเชื่อในสิ่งที่ผิด ถ้าเราถูกปลูกฝังให้เชื่อในสิ่งที่ผิดมาเป็นระยะเวลานาน จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นความเชื่อที่"งมงาย"ไปในที่สุด
           ผมเคยเชื่อว่า ปลาไม่มีเส้นประสาท ปลาไม่รู้สึกเจ็บปวด การตกปลาเป็นกีฬา ตกปลามากินไม่บาป  นี่คือความเชื่อด้วยการฟังตามกันมา ซึ่งผมเพิ่งจะมาเข้าใจว่าความเชื่อเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ผิด
       ผมเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตทุกชีวิต"รักตัวกลัวตาย" ซึ่งเรื่องนี้ผมได้เจอมากับตัวเองและจำได้อย่างฝังใจ
       ช่วง4ปีที่แล้ว ผมจะนิยมชมชอบการไปนั่งดื่มสุราที่บ่อตกปลา(ฟิชชิ่งปาร์ค) ไม่ค่อยสนใจตกปลาหรอกครับ ชอบนั่งดูคนอื่นเย่อกับปลามากกว่า 
       ตอนแรกๆที่เข้ามาวงการตกปลาที่บ่อ  ปลากินเหยื่อครั้งหนึ่งนี่ก็นะ ดีใจกันทั้งโต๊ะ แย่งกันใครจะเป็นคนเย่อเข้าฝั่ง พอเอาขึ้นฝั่งมาได้ ดีใจกันนิดหน่อย ก็ต้องปล่อยกลับลงบ่อไป เพราะมันเป็นกฎของบ่อปลาส่วนใหญ่เขาวางกฎเหล็กไว้ "ห้ามนำปลาออกจากบ่อเด็ดขาด"
       อะไรที่ได้มาง่ายๆมันไม่เร้าใจหรอกครับ ตกปลาที่บ่อ มันน่าตื่นเต้นแค่2ตัวแรกแค่นั้นแหล่ะ พอมีปลาติดเบ็ดอีกตัว ตอนนี้เกี่ยงกันแล้วครับ ไม่มีใครอยากเย่อกับปลาแล้ว ปวดแขน นั่งกินเหล้าดีกว่า..
       บ่อตกปลาส่วนใหญ่ จะนิยมเลี้ยงปลาจำพวกปลาสวาย ปลาบึก เพราะปลาพวกนี้แรงเยอะ ปากหนาทนต่อแรงดึงของตัวเบ็ด ปลาหลายๆตัวจะมีร่องรอยบาดแผลที่ปากเยอะมาก
        วันหนึ่ง 'อ็อด'แนะนำว่ามีบ่อตกปลาเปิดใหม่ ถ้าตกปลามีเกล็ดขึ้นมาได้ สามารถซื้อกลับบ้านได้ ดี๊ดี!! อ๊ะ..ต้องไปลองซักหน่อย
        ช่วงนั้นผมมักจะชวนน้าเขยไปตกปลาด้วยกัน น้าเขยอยู่ในวงการตกปลามาหลายปี น้าเขยมีคันเบ็ดหลายคัน อุปกรณ์เพียบพร้อม 
        ....งั้นเราไปลองบ่อใหม่กันเถอะ
        น้าเขยจะมีสูตรผสมเหยื่อใหม่ๆมานำเสนอตลอด ผสมน้ำแดงเฮลบลูบอย ผสมกลิ่นวนิลา ฯลฯ การตกปลาโดยใช้สูตรเหยื่อฟ้าประทานของน้านพ(น้าเขย) จะออกไปทางแนวเงียบเหงาเป่าสาก แต่เราก็แอบมีความหวังเล็กๆ ว่าจะได้ปลามาอวดไอ้โต๊ะข้างๆซักตัวนึงก็ยังดี 
        การที่ไปนั่งตกปลาที่บ่อ มันก็เหมือนกับการแข่งขันตกปลา กับโต๊ะข้างๆนั่นแหล่ะ
        ไอ้โต๊ะข้างๆนี่ก็ได้เอาๆ เดี๋ยวก็ยกปลามาเซลฟี่ เดี๋ยวก็ได้อีกแล้ว ตัดภาพมาโต๊ะกูนี่แบบว่า นั่งกินเหล้ากันเพลิน เบ็ดนิ่งสนิท 
         แต่......เฮ้ย!! "ปลากินเบ็ดแล้วโว้ย" อ็อดตะโกนเสียงดัง ความหวังที่จะได้ปลามาเซลฟี่กะเขาบ้างเริ่มจะแจ่มชัดขึ้น น้านพกระโจนไปวัดคันเบ็ดอย่างมืออาชีพ อ็อดก็กระโจนไปจับสวิงช้อนปลามาเตรียมพร้อมเช่นกัน
        น้านพค่อยๆหมุนรอกช้าๆพร้อมทั้งสอนอ็อดไปด้วยว่า ต้องหมุนแบบนี้นะ ดูแรงด้วยว่าปลาสู้มากน้อยแค่ไหน บลาๆ ยิ่งฟังก็ยิ่งขลัง หึหึหึ อีโต๊ะข้างๆมึงเตรียมตกใจได้เลย ใหญ่กว่าของมึงแน่ๆ หึหึ...
        ปลาถูกลากเข้ามาใกล้ฝั่ง อ็อดรีบใช้สวิงช้อนปลาขึ้นมาทันที  อ็อดชูสวิงขึ้นพร้อมกู่ร้องอย่างสะใจ 
        อนิจจา....
        ปลาตะเพียนตัวขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ในสวิง "อ็อดมึงรีบปล่อยลงน้ำเหอะ กูอายโต๊ะข้างๆ" ...
        ถ้ามีเวลาว่างผมมักจะชวนเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ให้มานั่งชิลๆที่บ่อตกปลาบ่อนี้ พวกเราไปกันบ่อย ไปจนสนิทกับเจ้าของบ่อ
        ช่วงแรก ผมนั่งแช่จนบ่อเขาจะปิด เจ้าของก็ให้ลูกสาวมานั่งเฝ้า ทำหน้าเป็นตูดลิง บ่อยๆเข้าก็ไม่มาเฝ้าอีกเลย แต่มีคนงานพม่าคอยเฝ้าบ่ออยู่ท้ายๆบ่อโน้น ไม่มาสนใจพวกเราหรอก 
        นั่งกินอย่างเสรีแบบนี้  ก็เข้าทางเพ่อ่ะดิ....
        บางวันผมนั่งกันถึง5ทุ่ม ทั้งที่ร้านปิด2ทุ่ม  นั่งกินเหล้าไปเรื่อย อ็อดไอเดียบรรเจิดว่า "ถ้าได้ปลาตอนนี้นะ กูจะโยนข้ามรั้ว(ลวดหนาม)ไป แล้วมึงไปรอรับข้างนอก ไม่มีใครรู้หรอก" 
         เรื่องชั่วๆไว้ใจ..อ็อด
         ปัญหาตอนนั้นไม่ใช่เรื่องการจะแอบเอาปลาออกจากบ่อได้อย่างไร แต่คือว่า เราจะตกปลาให้ขึ้นมาจากบ่อได้อย่างไร เพราะปลาที่นี้ แม้ง..ไม่ค่อยจะกินเหยื่อเลย (เอ๊ะ...หรือว่าไม่ชอบเหยื่อฟ้าประทาน) สรุปคืนนั้น ได้ปลานิลตัวขนาด3นิ้วกลับบ้านตึวนึง(ดีใจที่สุด)
        
         หลายวันถัดมา ผมนัดญาติๆไปนั่งกินข้าวที่บ่อตกปลาตั้งแต่หัวค่ำ "น้านพ"ขนเบ็ดมา4คัน พร้อมอุปกรณ์เหมือนปรกติ แต่คราวนี้อ็อดไปล้วงความลับจากลุงโต๊ะข้างๆ ได้ความลับขั้นสุดยอดมาว่า ที่บ่อนี้ใช้ขนมปังเลี้ยงปลา ถ้าจะตกปลาที่นี่ ก็ต้องใช้ขนมปังปั้นเป็นก้อนๆ แค่นั้นเอง ได้ปลาแน่ๆ
        อ็อดมาบอกน้านพว่าต้องใช้ขนมปัง ปลาถึงจะกินเหยื่อ แต่น้านพยังเชื่อมั่นในสูตรฟ้าประทางของแกต่อไป 
       ที่บ่อมีขอบขนมปังขายพอดี ผมกับอ็อดจึงใช้เหยื่อเป็นขอบขนมปัง สรุปคันเบ็ดมี4คัน ใช้สูตรฟ้าประทาน2คัน และใช้ขนมปัง2คัน ไม่นาน คันเบ็ดที่อ็อดนั่งเฝ้าด้วยความหวังก็กระตุก 
       อ็อดวัดคันเบ็ดอย่างแรง  อ็อดเย่อกับปลาอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช  ผมเอาสวิงมาเตรียมพร้อม ไม่นานผมก็เอาสวิงช้อนปลาขึ้นมาบนฝั่งได้สำเร็จ 
       น้านพใช้หางตามองมาที่ปลาในสวิง แล้วก็หันไปมองที่ปลายคันเบ็ดของแกต่อไป
        .....
        
       
       
        

        
       
       

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ฉันนั่งตกปลา อยู่ริมตลิ่ง..(2)



              ทุกชีวิตรักชีวิตตัวเอง แต่ก็มีบางเสี้ยววินาทีที่คนมีชีวิตไม่รักชีวิตตัวเอง ข่าวการฆ่าตัวตายถึงได้มีอยู่บ่อยๆในสังคม 
         ความเข้าใจผิดๆในเรื่องบาปบุญคุณโทษ รู้ไม่จริง รู้ไม่แจ้ง เขาเรียกว่า "อวิชชา"
          ผมและอ็อด ถูกอวิชชาครอบงำอย่างแรงเลยครับช่วงนั้น ตั้งแต่เบ็ดของรักของข้า ถูกพรากไปโดยความเขลาเบาปัญญาของอ็อด ผมและอ็อดก็ลงขันซื้อเบ็ดคันใหม่มาอีกจนได้
         อ็อดบอกว่า "กูว่านะ วันที่คันเบ็ดหักน่ะ โดนเจ้าที่แกล้งแน่ๆ" เออว่ะ มานั่งวิเคราห์กันแบบเชิงลึกแล้ว ผมและอ็อดก็เชื่อมั่นว่ามันเป็นจริงอย่างที่อ็อดพูด  อ็อดเสนอแนวคิดใหม่ว่า "ถ้างั้น...เราไปตกปลาให้ห่างๆเขตวัดดีกว่านะ" (ไม่ได้รู้สึกสลดอะไรเล๊ย)
        ผมเริ่มเสาะหาสถานที่ตกปลาแห่งใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นห้วย หนอง คลอง บึง ที่ไหนใครว่าดี เราก็จะตามไปดู ...
        อาจจะเป็นเพราะทำบาปไม่ขึ้น ผมและอ็อดก็ค่อยๆห่างหายจากการตกปลาไปเอง แต่มันก็มีนานๆทีไปนั่งตกปลาที่บ่อ(ฟิชชิ่งปาร์ค)กันบ้าง
        ช่วงที่ผมเรียนปวช. มีบ่อตกปลามาเปิดใหม่ บรรยากาศดี นั่งกินเหล้าชิลๆตกปลาไปด้วย ...ดี!! และเพื่อนของผม(กอล์ฟ)ก็รู้จักกับเจ้าของบ่อ ...โครตดี!!!
        วันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดของกอล์ฟ เรานัดหมายเจอกันที่บ่อตกปลาช่วงหัวค่ำ โดยมี"โรจน์"เพิ่มมาอีก1คน
        มีคนเคยบอกว่า "เหล้าเป็นของเหลวที่สามารถเปลี่ยนนิสัยคนได้" และผมก็เชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรา3คน นั่งดื่มกินกันไปเรื่อย ไม่ค่อยได้สนใจตกปลาซะเท่าไหร่ ผมและโรจน์ นิสัยคล้ายๆกัน คือถ้าเมาแล้วจะสนุกสนาน เฮฮา แต่...ถ้ากอล์ฟเมา กอล์ฟจะร้องไห้...
        ผมและโรจน์ รู้ข้อเสียของเพื่อนดีอยู่แล้ว จึงพยายามชงเหล้าให้กอล์ฟบางที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่แล้ว ญาติของกอล์ฟก็มาร่วมโต๊ะด้วย และญาติของกอล์ฟเป็น"ตำรวจ"
        ผมนั่งดื่มกัน3คนหมดเหล้าไปไม่ถึงครึ่งขวด ญาติกอล์ฟมานั่งครู่เดียว ขวดรั่วทันที  ก็พี่แกบอกว่า "ลูกผู้ชายต้องเข้ม" แล้วผมจะไปกล้าปฎิเสธตำรวจได้อย่างไงล่ะครับ
       อ่ะ เข้มก็เข้มสิวะ เหล้าถูกสั่งมาอีกขวด แล้วมันก็เป็นไปตามคาด กอล์ฟเริ่มดราม่า เหงา อ้างว้าง เดียวดาย คืออะไรที่เป็นปมเศร้าๆในใจของมัน มันระบายออกมาหมด กอล์ฟเปลี่ยนศาลาริมบ่อน้ำให้กลายเป็น "ศาลาคนเศร้า"ไปซะแล้ว
        ผมและโรจน์ช่วยกันปลอบประโลม หวังว่าจะดึงบรรยากาศครึกครื้นให้กลับคืนมา แต่มันก็ไม่ทำให้กอล์ฟเลิกร้องไห้ได้เลย ญาติของกอล์ฟก็ช่วยปลอบ ปลอบอย่างไงมันก็ไม่หยุด (อยากจะส่งไปรายการ ขอร้องอย่าหยุดร้องซะจริงๆ)
        ผมและโรจน์เริ่มจะเมาหนัก(เพราะเข้มตามพี่เขามาหลายแก้ว) กอล์ฟก็ยังร้องไห้ต่อไป แล้วเหตุการณ์เร้าใจก็เกิดขึ้น ญาติกอล์ฟหยิบปืนพกขึ้นมาวางบนโต๊ะ..!!
       "มึงจะหยุดร้องมั้ยวะกอล์ฟ" พี่คนนั้นถาม วินาทีนั้นผมและโรจน์ แค่สบตากันก็รู้ลึกไปถึงตับไตไส้พุง คิดในใจตรงกันว่ากลับกันเถอะ พร้อมพยักหน้าหงึกๆ
        ผมขอตัวกลับทันที แต่พี่แกพูดว่า "จะรีบไปไหนไม่เป็นห่วงเพื่อนมึงบ้างเรอะ" ครับ ..ห่วงก็ได้ครับพี่  ผมและโรจน์จึงจำเป็นต้องนั่งอึดอัดกันต่อไป
       ยิ่งปลอบ กอล์ฟแม้ง ยิ่งร้องไห้หนัก แล้วญาติของกอล์ฟก็ทำเรื่องที่ผมตกใจสุดขีด พี่แกหยิบปืนมายิงขึ้นฟ้า!! แกไม่ได้ยิงท่าชูแขนตรงขึ้นเหนือหัวแล้วยิงนะครับ พี่แกโชว์ทักษะเอาปืนถือไว้ระดับหน้าอกแล้วก็ยิงเฉียงๆขึ้นฟ้า
      กลับแกล้มบนโต๊ะกลายเป็นยำปลอกกระสุนไปซะแล้ว จิตผมกระเจิงไปสตาร์ทมอไซค์ขี่ออกไปไกลแล้วครับจุดนั้น
       ผมต้องออกจากที่นี่ไปให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่าไอ้สเตปยิงเฉียงๆของพี่แกอาจจะเฉียงมาเจาะทะลุร่างกายของผมก็เป็นได้ ที่ใต้โต๊ะผมเอาเท้าเขี่ยขาของโรจน์ เพื่อส่งสัญญานว่ากลับกันเถอะ ...และพี่แกก็รัวไปอีกชุดหมดแม็ก
        ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเหม็งที่จะชิ่งออกมาจากโต๊ะ เพราะพี่แกก้มหน้าก้มตาใส่ลูกกระสุนอยู่ ผมและโรจน์ บอกกอล์ฟว่า "เจอกันที่ห้องมึงนะ" ยกมือไหว้พี่โหด แล้วลุกออกมาทันที 
        ผมให้โรจน์เป็นคนขี่ เพราะไอ้เหล้า5-6แก้วเข้มๆเมื่อกี้ มันออกฤทธิ์ซะโลกหมุนติ้วๆ โรจน์ขี่มอไซค์เป็นงูเลื้อย(เพราะมันก็เข้มเหมือนกัน) พากันมาถึงแฟลตตำรวจ เราพากันเดินขึ้นไปชั้น3 ไปนั่งรอหน้าห้อง รอกอล์ฟมาเปิดประตูให้ 
       โลกยังคงหมุนติ้วต่อไป โรจน์เริ่มเอนตัวลงนอนกับพื้นหน้าประตูห้อง ผมนั่งรอสักพัก เห็นโรจน์หลับอยู่ท่ามกลางรองเท้าหน้าห้องหลายคู่ ผมไม่อยากปลุกเพื่อน จึงชิ่งกลับไปนอนที่บ้านผมคนเดียว
        ตอนเช้า ยายเดินมาปลุกผม ให้ไปรับโทรศัพท์ของโรจน์ ผมขี่ไปรับโรจน์ที่แฟลต โรจน์ต่อว่าต่อขาน ที่ผมหนีกลับไปนอนที่บ้าน ปล่อยให้มันนอนกอดรองเท้าอยู่คนเดียว แล้วกอล์ฟมันไปนอนที่ไหน? เราเริ่มจะสงสัย    
         ผมไปส่งโรจน์กลับบ้านเรียบร้อย  บ่ายๆผมโทรไปถามกอล์ฟว่า "เมื่อคืนไปนอนที่ไหน? พวกกู(โรจน์) นอนหน้าห้องมึงอ่ะ" กอล์ฟตอบว่า "กูนอนชั้น4 ห้องของพี่ และห้องไม่ได้ล็อค ทำไมมึงไม่เข้าไปนอนข้างในล่ะ" อืม....ขอบใจนะกอล์ฟ
         หลังจากนั้น ผมและกอล์ฟก็ไม่ค่อยได้กินเหล้าด้วยกันอีก เป็นเพราะกอล์ฟมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ ล่าสุดที่เจอกัน พ่อของกอล์ฟเปิดร้านอาหารที่ราชบุรี ผมไปนั่งกินกับกอล์ฟเป็นครั้งสุดท้าย
         .....
         
        เมื่อกลางปี2557 "โรจน์"โทรมาบอกผมว่า เมื่อเช้า นั่งดู Line เรื่อยเปื่อย(ผมไม่มีเบอร์กอล์ฟ) เห็น Line ของกอล์ฟขึ้นรูปโปรไฟล์เป็นกรอบรูปงานศพของ"กอล์ฟ" โรจน์บอกว่า "มึงโทรไปเบอร์มันดิ๊ กูไม่กล้าโทร" ผมได้เบอร์มาจากโรจน์ ผมยังงงอยู่ว่ามันเล่นตลกอะไรหรือเปล่า 
        พ่อของกอล์ฟรับสาย บอกว่า กอล์ฟเสียแล้ว เมื่อวานตอนเช้าก่อนจะไปทำงาน กอล์ฟหัวใจวายเฉียบพลัน...
        ขณะที่ผมนั่งฟังพระสวดบทพระอภิธรรมในงานศพของกอล์ฟ ภาพเก่าๆระหว่างผมและกอล์ฟมันหวนกลับมาอีกครั้ง ชีวิตคนเรามันก็มีแค่นี้เอง....
        เหมือนดั่งกอล์ฟเล่นละครจบไปอีกหนึ่งเรื่องสินะ ผมไม่รู้ว่ากอล์ฟจะได้ไปแสดงละครชีวิตบทใหม่ที่ไหน แต่ผมยังต้องแสดงละครชีวิตนี้อีกต่อไป และในละครชีวิตของผมไม่มีตัวละครชื่อ "กอล์ฟ" อีกต่อไปแล้ว
              
        

        
         


        
        

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ฉันนั่งตกปลา อยู่ริมตลิ่ง..



         
         ตั้งแต่จำความได้ ยายพาผมไปวัดตอนเด็กๆ ผมไม่สนใจเรื่องอื่นเลย รอแค่เมื่อไหร่จะได้กินขนมตอนที่พระสวดให้พรเสร็จแล้วแค่นั้น แต่ทุกครั้งที่ไปวัด ผมจะมองไปที่รูปภาพ ขุมนรกชั้นต่างๆ ที่ทางวัดนำมาติดไว้ตามเสา และผนัง ยายบอกว่า ถ้าทำบาปจะต้อง "ตกนรก"
         ช่วงหลังๆผมไม่ค่อยจะได้ไปวัดอีกเลย ตื่นมาก็จ้องที่จะดูการ์ตูนช่อง9 พอการ์ตูนจบ ก็ออกไปเล่นตามประสาเด็กเรื่อยเปื่อย
         ผมจะสนิทกับ "อ็อด" เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน กิจกรรมที่เราชอบทำร่วมกัน คือ "ตกปลา"
         สภาพแวดล้อมของรอบๆบ้านผม จะเป็นสวนมะพร้าว มีร่องน้ำ และแน่นอน มันต้องมีปลา
        จะตกปลาครั้งหนึ่ง ผมจะต้องมาขโมยไม้ลวก ที่ยายเอามาขัดไว้ทำรั้ว เอาไปทำคันเบ็ด  ยายรู้เมื่อไหร่โดนด่ากระจาย
         ปลาส่วนใหญ่ที่ได้มาก็เป็นปลาหมอ    อ็อดก็จะเอาไปให้ยายของอ็อด ต้มเอาไว้เลี้ยงแมว ก็แค่นั้น
        วันเวลาผ่านไป จะให้มานั่งตกปลาตามร่องสวนมันไม่เร้าใจซะแล้ว ผมเริ่มจะไปตกปลาที่แม่น้ำ ผมกับอ็อด ร่วมหุ้นกันซื้อคันเบ็ด+รอกตกปลา ราคาไม่แพงหรอกครับ เพราะซื้อต่อเพื่อนไอ้อ็อดมาอีกที เราสองคนรักเบ็ดคันนี้มาก เพราะเก็บตังค์หลายวันกว่าจะซื้อมาได้
         การทำบาปเริ่มขึ้นอีกครั้ง ผมกับอ็อดเดินสายขี่จักยานไปตกปลาที่แม่น้ำทุกครั้งที่มีเวลาว่าง และที่เร้าใจไปกว่านั้น เรานั่งตกปลากันริมท่าน้ำของวัดพญาไม้ ไม่ได้เกรงกลัวอะไรกันเล๊ย...
          ช่วงแรกๆการเหวี่ยงให้เหยื่อไปกลางแม่น้ำ เราจะคิดแต่จะเหวี่ยงมันให้ออกไปไกลที่สุด แต่มือใหม่อ่ะนะ เหวี่ยงทีไร มันก็อยู่ใกล้ๆริมตลิ่งนั่นแหล่ะ 
         วันนั้นเราไปตกปลากันที่ท่าน้ำของวัดตามเดิม แต่ผมขอเป็นคนนั่งดู ให้อ็อดวาดลวดลายการเหวี่ยงเหยื่อไปคนเดียว อ็อดปั้นเหยื่อเตรียมพร้อมจะเหวี่ยง ผมเน้นให้อ็อดเหวี่ยงไปให้ไกลๆ อ็อดหันมาพยักหน้าพร้อมทำฟันเหยินใส่(ตอนเด็กอ็อดฟันเหยินมาก)
        อ็อดเหวี่ยงคันเบ็ดสุดแรง... แต่ มันลืมเปิดหน้ารอก!!! 
        เสียงคันเบ็ดหักดัง "เปรี๊ยะ" และก็ตกลงไปในน้ำดัง "จ๋อม" อ็อดค่อยๆหันหน้าเจื่อนๆของมันมามองหน้าผม โดยที่อ็อดถือคันเบ็ดที่มีแต่ด้ามไว้ในมือ
        เหมือนของรักของข้าถูกทำลายไปซะแล้ว ผมโมโหมาก แต่ก็ทำได้แค่พูดออกไปว่า "เออดี ช่างมันเหอะ" 
       ผมหันหลังให้อ็อด นั่งมองฟ้ามองแม่น้ำไปเรื่อยเพื่อข่มความโมโห 5นาทีผ่านไป ผมเริ่มอารมณ์ดีขึ้น หันหน้าไปจะชวนอ็อดกลับบ้าน อื้อหือ...ภาพข้างหน้าผมคือ ไอ้อ็อดใส่กางเกงในสีเขียว สกรีนรูปโงกุน อ็อดยืนขาจมไปในน้ำระดับหัวเข่า ทำท่าเหมือนกำลังจะงมหาคันเบ็ด
         อ็อดกำลังแสดงออกถึงการรับผิดชอบอันใหญ่หลวง แต่ตรงที่คันเบ็ดมันจมน้ำ มันอยู่ตรงลึกๆโน้น มึงจะงมหาตรงน้ำตื้นๆทำไม๊ ผมชี้มือบอกตำแหน่งว่า คันเบ็ดอยู่ตรงโน้น อ็อดหันมาพูดเบาๆว่า "กูว่ายน้ำไม่เป็น"  โธ่ อีห่า!!! มึงนี่มันสร้างภาพเก่งจริงๆ...
        
         
         

         
        
         
       

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ผม.....ตอนที่2







           ผมเคยน้อยใจ ที่มีเส้นผมหยักศก แต่อย่างน้อยผมก็มีเพื่อนที่จะร่วมกันหยักศกอยู่ไม่น้อยเลยนะ  
          แล้วเราจะหยักศกไปด้วยกัน...
          ขจร เพื่อนๆเรียก “จร” จำได้ว่าที่ผมรู้จัก ขจร ครั้งแรกตอนเข้าปวช.1 มีคนเรียก ขจร ว่า “จร” แต่ผมฟังว่า”John”  (โห้...นี่กรูมีเพื่อนร่วมห้องเป็นลูกครึ่งเหรอวะเนี่ย)  หันตามเสียงขันรับไปดูหนังหน้า  อืม... ภาพชายหนุ่ม สิวเขอะ ผมหยักศก แสกกลาง ยืนคุยกับไอ้คนเรียกชื่อเมื่อกี้  Oh no. John!!
         ตอนเรียนผมสนิทกับขจรไม่มากเท่าไหร่ แต่ตอนปัจจุบันนี้ผมสนิทกับมันมาก เพราะต้องคอยด่ามันว่า อย่าส่งคลิปโป๊มาใน Line กลุ่ม กูรำคาญ( ส่งมาทีนึง 10-20คลิป)
         ขจร จะสนิทกับ สุพจน์ เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน  วันหนึ่งที่บ้านสุพจน์ชวนไปเล่นน้ำสงกรานต์ เอาถังน้ำขึ้นหลังกระบะ ขับวนๆสาดน้ำในตลาด  
        แหล่ม.. แบบนี้ก็ชอบอ่ะดิ
        ...ถึงเวลานัดหมายที่บ้านสุพจน์ ผมแต่งตัวมิดชิดเพื่อป้องกันแดดที่อาจจะทำให้ผิวหมองคล้ำได้หลังจากเล่นน้ำเสร็จ ไปถึงก็เห็น ขจร ในเวอร์ชั่นผมตรง  โอ้...มันช่างเท่เหลือหลาย 
        ขจรไปยืดผมตรงมาครับ
        (แอบคิดในใจ ต้องไปหาซื้อมายืดบ้างซะแล้ว) ผมนั่งอยู่กระบะหลังกับขจร  สุพจน์และบรรดาเด็กๆอีกหลายคน  ทุกคนใส่หมวกกันแดด ยกเว้น ขจร..
         รถขับวนไปเรื่อย ขจร จับผมตัวเอง มากกว่าจับขันน้ำซะอีก (ก็ผมมันเท่นี่นะ) ทุกคนสนุกสนาน เปียกปอนกันไปตามๆกัน ภาพผมของ ขจร เวลาโดนน้ำ โอ้..มันช่างดูดี มีน้ำหนัก เหมือนในโฆษณาเลยทีเดียว (แอบอิจฉาเบาๆ)
         สาดน้ำกันไปสักพัก พ่อของสุพจน์ เสนอไอเดียว่า ไปชะอำกันไหม เด็กๆหลังรถตะโกนพร้อมกันว่า ไป๊....
         อ่ะ ไปก็ไป
         รถกระบะวิ่งฝ่าแดด ฝ่าลม เพื่อจะไปให้ถึงจุดหมาย ในหลังกระบะตอนนั้น ทุกคนหาที่กำบังแดดกันสุดฤทธิ์  ไม่นานก็มาถึงหาดชะอำ
        สีหน้าของเด็กๆเบิกบาน เริงร่า ยกเว้น ขจร  โอ้แม่เจ้า!!!  ทรงผมของ ขจร ตอนนี้มันผสมผสานระหว่าง ทรงหัวฟู กับ เดทร็อค  ขจร รีบเอามือลูบผมให้กลับมาเรียบตรงอีกครั้ง แต่เปล่าประโยชน์ สุพจน์ยืนดูขำๆ แล้วบอกว่าก็”เอาน้ำราดหัวไปดิ”  
        เออว่ะ มีเหตุผล 
        เหมือนดั่งบัวแล้งน้ำ ได้รับน้ำฝนชุ่มฉ่ำ ผมขจรกลับมาดูดี มีน้ำหนักอีกครั้ง และทริปเที่ยวชะอำวันนั้น  ขจรต้องคอยเอาน้ำพรมหัวให้เปียกอยู่ตลอดเวลา โธ่...ทำไมมันยากขนาดนี้
        จากเหตุการณ์วันนั้น ทำให้ผมรู้ว่า ไม่ควรยืดผมในช่วงสงกรานต์...
        ปล. รูปหัวบทความ คือ รูปของ ไมเคิล แจ็คสัน ตอนที่ยังไม่ได้ฟอกขาว ซึ่งหน้าตาเหมือน ขจร มากๆ

      



วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ผม....ตอนที่1



            เขียนบทความไม่ยากเท่าการหารูปมาขึ้นหัวบทความ แล้วไอ้คนที่นั่งยิ้มในรูปท่ามกลางขุนเขามันคืออะไร?? ตอนนี้จะเขียนเกี่ยวกับ"เส้นผม" และผมก็เชื่อว่าทุกๆคนรักผม(เส้นผม) เพราะดูรอยยิ้มของนายแบบในรูป จะเป็นรอยยิ้มที่แอบแฝงไปด้วยความเศร้าหมองเมื่อถูก"โกนผม" รอยยิ้มที่สุดแสนจะเจื่อนๆนี้ มันบ่งบอกได้ถึงอารมณ์ต่างได้มากมาย แต่เอาเถอะ..!! โกนๆให้เสร็จไป เดี๋ยวก็ไปบวชแล้ว
           บุคคลในภาพ คือ น้องผมเองครับ เขาเป็นคนรักธรรมชาติ ผมจึงรวบรวมฝีมือทั้งหมดใช้PS6(นั่งทำนานมาก) ตัดต่อภาพให้นายแบบอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โดยที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบเจื่อนๆรวมอยู่ด้วย ผมอยากจะสื่อถึงความรักของทุกๆคนที่มีต่อเส้นผมนั่นเอง
            ร่างกายคนเราเริ่มพัฒนาขึ้นเหมือนเส้นกราฟที่ค่อยๆพุ่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ร่างกายหยุดพัฒนา เส้นกราฟก็จะค่อยๆตกลง และตอนนี้ตัวผมอยู่ในช่วงเส้นกราฟทิ้งดิ่ง
           ร่างกายของผมตอนนี้อยู่ในช่วงเริ่มจะเสื่อม และที่เสื่อมหนักที่สุดเลย ก็คือ “เส้นผม”
           ผมมักจะชอบนั่งดูภาพถ่ายของผมตอนอายุ4-5ขวบ ผมจะมีความสุขหรรษามาก ไม่ใช่เพราะผมเป็นเด็กน่ารักน่าชังอะไรหรอกนะ แต่เพราะตอนนั้นผมมี “ผมตรง”
           เด็กชายหน้ากลมผมรองทรงหน้าม้าปิดหน้าผาก ดูกี่ทีก็เท่ระเบิด แต่...เมื่อเวลาผ่านไป สปีชี่ของผมก็เปลี่ยนไป
           ผมกลายเป็นเด็กหนุ่มผมหยักศก  และมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าเส้นผมของผมมันจะหยักศกเท่ากันทั้งหัว เพราะว่าถ้าผมไว้ผมยาว ผมก็จะมีทรงเหมือน “พี่เสกโลโซ”(ขอเหมือนแค่ทรงผมก็พอนะ) แต่...ปัญหามันอยู่ที่ผมมีผมหยักศกเป็นลอนอยู่เฉพาะด้านหน้า คือ อารมณ์มันสบสันระหว่างจะเสยขึ้น แม้ง..หัวก็เถิกอีก หรือ จะหวีลงก็มาซะเป็นคลื่นเลยทีเดียว บทสรุปของทรงผมที่ทำได้คือ ปัดเฉียงๆไปทางซ้ายมือ
           ตอนเด็กๆ พ่อมักจะล้อผมว่า ไอ้ผม”วัวเลีย” ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรหรอก วัวเลียก็เลียไปดิ ที่บ้านก็ไม่ได้เลี้ยงวัวจะกลัวอะไร เติบโตขึ้นมาถึงจะเข้าใจ แต่ก็แอบสงสัยอยู่นะว่า ตอนเราเด็กๆเราเคยโดนวัวมาแอบเลียหัวหรือเปล่าวะ?
          ถ้ามีวัวมาแอบเลียผมจริงๆ อยากบอกพี่วัวตัวนั้นว่า พี่ครับ ช่วยกลับมาเลียหัวผมใหม่ได้ไหม ช่วยเลียผมให้ทั่วทั้งหัวเลยนะ จัดให้หนักๆ เลียให้เลี่ยมไปเลย ไม่ต้องเกรงใจ
          แต่ข้อดีของ วัวเลีย มันก็มีนะ คือ ตั้งแต่เรียนม.ต้น ผมไม่เคยโดนครูตรวจผมแล้วจะไม่ผ่านเลยซักครั้ง (ก็ตัดสั้น ไถข้างหลังขาว มีผมแปะอยู่ข้างหน้าหน่อยนึง พอแล้ว) และการที่จะมีผมสั้นตลอด มันก็ต้องเข้าไปร้านตัดผมบ่อยๆ
          ตอนเด็กๆผมไม่ชอบไปร้านตัดผม ผมไม่ชอบบรรยากาศภายในร้าน อยากไปร้านอื่นก็ไปไม่ได้ เพราะแถวบ้านมีร้านเดียว  ร้าน”ตาอึ่ง” รับตัดผมชาย แกชอบกินน้ำชา และก็จะมีชุดน้ำชาวางที่โต๊ะรับแขก มีหนังสือ”อาชญากรรม” เอาไว้ให้อ่านเพื่อฆ่าเวลา(ฆ่าจริงๆ เลือดสาด..) มาถึงตรงนี้ผมไม่เข้าใจ ถ้าแกชอบอ่านแนวนี้ ทำไมแกไม่ไปอ่านแบบเร้าใจๆคนเดียว จะต้องมาวางไว้ให้พวกลูกค้าเร้าใจก่อนขึ้นตัดผมเหรอไง  แต่ก็เอาเถอะ ยังดีที่มีหนังสือขายหัวเราะวางแซมๆอยู่บ้าง
           ถ้าผมต้องไปตัดผมพร้อมกันกับเพื่อนๆ ไอ้อ็อด(มันมาอีกแล้ว)มันจะชอบเปิดหนังสืออาชญากรรมหน้ากลางยื่นมาให้ผมมอง  ซึ่งไอ้หน้ากลางนี้จะเป็นภาพศพตามอิริยาบถต่างๆ ภาพสีสันสดใส ชัดเจน ผมก็จะเบือนหน้าหนี ปิดตาเพราะไม่อยากดู
           ขอบคุณอ็อดมากๆ ที่ทำให้ปัจจุบันกูกลัวเลือด...
           ตาอึ่ง ใส่แว่นหนาๆ ตัดผมมากี่ปีไม่รู้ แต่ผมตัดกับแกมาตั้งแต่ผมจำความได้ ผมจะมีอาการเกร็งตลอดเวลา ที่แกกันผม(เอามีดโกนขูดๆตรงขอบๆผม) ผมกลัวว่ามันจะพลาดมาโดนหู หรือไม่ก็บาดเป็นแผล
          โอ้...เลือดสาด
          อาจจะเป็นเพราะผมถูกบิ้วอารมณ์มาจากไอ้หนังสือ อาชญากรรม ก็เป็นได้
          เรื่อง ตาอึ่ง ตัดผมเบี้ยว ตัดไม่เกลี้ยง เรื่องพวกนี้ ชิลๆครับ เพราะเป็นทุกครั้ง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะยังเป็นเด็กอยู่ แต่มันก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่แกทำแบตเตอเลี่ยนบาดหูของลูกพี่ลูกน้องผม ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในร้านน่ากลัวหนักไปอีก  
          ....เลือดสาด !!!
           ทุกวันนี้ถ้าผมมีโอกาสผ่านร้าน ตาอึ่ง (ปัจจุบันตาอึ่งเสียชีวิตแล้ว) ผมจะนึกขอบคุณ ตาอึ่ง  ที่สอนผมให้รู้จัก”อสุภกรรมฐาน” ที่มาในรูปแบบหนังสือ อาชญากรรม ขอบคุณจริงๆครับ
          ปล.ภาพหัวบทความ มาจากภาพงานบวชของเก้าครับ (น้องชายชื่อ เก้า)